“เอกนิติ” ชง”คนละครึ่ง พลัส”เข้าครม.กลาง ต.ค.คาดเริ่มใช้จ่ายปลายเดือน,ดันแผนใหญ่ปฏิรูปการคลัง พ.ย.นี้

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ กล่าวภายหลังเข้ากระทรวงการคลังเป็นครั้งแรกในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ว่า ได้รับมอบนโยบายด้านเศรษฐกิจในช่วงเวลา 4 เดือนจากนี้จากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คือ จะต้องเร่งตอบโจทย์ความกังวลในทุก ๆ ด้าน ดังนั้น การดำเนินการด้านเศรษฐกิจจะต้องมุ่งให้เกิดการฟื้นตัวได้เร็วตามนโยบาย Quick-Big-Win และต้องมีผลในระยะยาวด้วย

หนึ่งในโครงการตามนโยบาย Quick-Big-Win คือ โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งที่ผ่านมาได้หารือร่วมกับนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังมาอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ราวสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค.68 จากนั้นจะเปิดให้ร้านค้าและประชาชนลงทะเบียนทันที พร้อมยืนยันว่าผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้สิทธิมากกว่าผู้ที่ไม่อยู่ ตามที่นายกรัฐมนตรีระบุไว้ชัดเจนแล้ว ถือเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ส่วนรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ขอให้รอติดตามความชัดเจนอีกครั้ง ขณะที่วงเงินที่ใช้จะมาจากงบประมาณปี 2569 ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ขยายเพิ่ม เพราะไม่ต้องการทำให้ขาดดุลการคลังมากขึ้น

ส่วนกรณีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์ เรทติ้ง ปรับลดมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทยจาก Stable เป็น Negative นั้น นายเอกนิติ ระบุว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลตระหนักและให้ความสำคัญ เพราะเถือเป็นคำเตือน ซึ่งในช่วง 4 เดือนจากนี้อาจจะมีโครงการลักษณะเดียวกับ “คนละครึ่ง พลัส” ออกมาอีกมาก แต่ยืนยันว่าทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้วินัยการคลังอย่างเข้มข้น

สำหรับเรื่องฐานะการคลัง ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้ความสำคัญนั้น นายเอกนิติ กล่าวยืนยันว่า เรื่องฐานะการคลังมองในระยะสั้นไม่ได้ และรัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก โดยตัวเลขการขาดดุลงบประมาณที่ 3% นั้นยังเป็นเป้าหมายการทำงานในระยะยาว ซึ่งสิ่งสำคัญในตอนนี้คือ จะต้องทำให้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่นโยบาย เพราะการกระทำสำคัญกว่าคำพูด ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะทำ คือ ไม่ว่าจะทำนโยบายใด ก็จะมุ่งไปที่การพยายามเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย และช่วยต่อยอดในการสร้างรายได้ให้รัฐมากขึ้น ภายใต้การคำนึงถึงวินัยการคลังอย่างเข้มข้น ผ่านการใช้งบประมาณที่มีประสิทธิภาพ และตรงกลุ่มเป้าหมาย

“ขอกับนายกรัฐมนตรีไว้แล้วว่าทุกนโยบายด้านเศรษฐกิจจะต้องรักษาวินัยการคลังอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น โดยทุกนโยบายจะต้องมีธรรมาภิบาลการคลัง คือ เปิดเผยรายละเอียดของแต่ละโครงการว่ามีต้นทุนเท่าไหร่ ทำแล้วเกิดประโยชน์อะไร ทุกคนจะได้เห็น”

และภายในเดือน พ.ย.68 จะมีการปรับ Medium-Term Fiscal Framework (MTFF) ครั้งใหญ่ โดยเป้าหมายคือการสร้างความมั่นใจ ในฐานะคนคลังทั้งชีวิตต้องมีแผนชัดเจนในการปฏิรูปภาคการคลังว่าจะทำอะไรบ้าง ส่วนไหนที่ทำได้จะทำเลย ส่วนไหนที่ทำไม่ได้จะวางเป็นแผนไว้ ยืนยันว่าช่วง 4 เดือนนี้ต้องเร่งยกระดับความโปร่งใส มีวินัย และมีธรรมาภิบาล รัฐบาลจะใช้หลักการนี้เป็นปราการยึดให้กับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

นอกจากนี้ จะเร่งยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า ผ่านการอัพสกิล-รีสกิล เช่น การดึงเทคโนโลยีดิจิทัลขึ้นมาช่วยยกระดับการทำบัญชีให้เป็นระบบและเชื่อมต่อครบทั้งวงจร ซึ่งจะช่วยทำให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็จะรู้ต้นทุน เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการได้ง่ายขึ้นด้วย

นายเอกนิติ กล่าวอีกว่า ในฐานะรองนายกรัฐมนตรียังได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งเบื้องต้นวางเป้าหมายจะเข้ามาปลดล็อกกฎ กติกาต่าง ๆ และจะใช้หลักการเดียวกับที่เคยทำโครงการ PPP Fast Track เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนจริง เนื่องจากปัจจุบันมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนค่อนข้างมาก แต่การลงทุนจริงกลับไม่สอดคล้อง รวมถึงจะมีการปรับเพิ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศเพื่อต่อยอดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งเบื้องต้นได้มีการหารือกับ BOI ไปบ้างแล้ว

“รัฐบาลมุ่งทำงานด้านเศรษฐกิจโดยพุ่งเป้าไปที่การสนับสนุนให้เกิดการฟื้นตัวในระยะสั้น ต่อยอดไปสู่ระยะยาว และมีการกระจายตัวอย่างทั่วถึง ซึ่งขอยืนยันอีกครั้งว่าระยะเวลา 4 เดือนนั้น จะเร่งทำงานตามนโยบายทุกอย่างที่วางไว้ให้ทัน เราไม่ได้ทำเยอะ แต่เน้นทำในสิ่งที่ต้องทำ และต้องใหญ่พอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งหมดมีแผนงานไว้หมดแล้ว ขอให้รอฟังความชัดเจนในวันที่ 1 ต.ค. ภายหลังจากแถลงนโยบายต่อสภาฯ ส่วนที่ถามว่ารัฐบาลจะให้เศรษฐกิจนำการเมืองหรือไม่นั้น ผมคงตอบเองไม่ได้ แต่การที่นายกรัฐมนตรีเลือกผมมา ก็น่าจะเป็นคำตอบกลาย ๆ แล้วว่าเป็นอย่างไร” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าว

ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากเสนอให้ ครม. พิจารณาโครงการ คนละครึ่ง พลัส แล้ว คาดว่าจะสามารถเปิดให้มีการลงทะเบียนร้านค้าและประชาชนราว 2 สัปดาห์ และน่าจะเริ่มเปิดให้ใช้จ่ายได้เร็วสุดในช่วงปลายเดือน ต.ค.68 หรือถ้าไม่ทันก็จะให้ใช้จ่ายได้ในช่วง พ.ย.-ธ.ค.

ส่วนประเด็นเรื่องผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี รัฐบาลจะจ่ายสมทบ 50% และประชาชนจ่ายเอง 50% แต่ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีรัฐบาลจะจ่ายสมทบ 60% และประชาชนจ่ายเอง 40% นั้น ส่วนต่างตรงนี้อาจจะใช้วิธีการ Top Up 10% ให้กับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี ส่วนรูปแบบที่ชัดเจนจะเป็นอย่างไรขอให้รอดูหลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภาฯ ให้เรียบร้อยก่อน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 68)