รมช.อุตฯ ชูแนวทางพลิกโฉมอุตสาหกรรมไทย หนุนลงทุนยั่งยืน-ปรับเกมสู้โลกด้วยเทคโนโลยีสะอาด

จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2568 “ECO Innovation Forum 2025” ภายใต้แนวคิด “พัฒนาประเทศไทย ด้วยอุตสาหกรรมใหม่อย่างยั่งยืน” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การนำนิคมอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน” โดยระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมไทย เป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างโอกาสทางสังคม แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งการแข่งขันระดับโลก ปัญหาสิ่งแวดล้อม และความคาดหวังด้านความยั่งยืน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้าน ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันโลก และต้องขับเคลื่อนเพื่อนำโลก ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีสะอาด และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ การบริหารภาคอุตสาหกรรม ต้องมุ่งสนับสนุนและพัฒนา ควบคู่กับการกำกับให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยยึดแนวทาง “ปิดเร็ว-เปิดเร็ว-พึ่งพาได้” เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการส่งเสริมเศรษฐกิจ กระทรวงอุตสาหกรรม จะสนับสนุนผู้ประกอบการให้ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง โปร่งใส และยั่งยืน โดยเน้นการพัฒนาใน 3 มิติ คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นมิตรกับชุมชน มุ่งสู่การเป็น “พื้นที่ต้นแบบ” ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และอุตสาหกรรมยั่งยืน สร้างทั้งเศรษฐกิจที่มั่นคง และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยทุกคน

รมช.อุตสาหกรรม กล่าวถึงนโยบายและแนวทางการบริหารงานของกระทรวงฯ ว่า เน้นย้ำถึงการทำงานที่ตรงไปตรงมาและเข้มข้น ภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด พร้อมเปิดเผยโมเดลใหม่ในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม โดยนโยบายหลัก คือ “ปิดเร็ว เปิดเร็ว และพึ่งพาได้”

1. การปิดเร็ว: หากผู้ประกอบการกระทำผิดเงื่อนไขของกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น ปล่อยน้ำเสีย ทำให้ชุมชนเดือดร้อน หรือสร้างความเสียหายต่อสภาพแวดล้อม เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ หรืออธิบดีกรมโรงงาน ภายใต้การบริหารของปลัดกระทรวงฯ จะเข้าดำเนินการตามขั้นตอน โดยอาจเริ่มจากการว่ากล่าวตักเตือนในครั้งแรก หากไม่แก้ไขก็จะดำเนินการปิดโรงงาน ซึ่งรวมถึงการปิดโรงงานถาวร

2. การเปิดเร็ว: ในทางกลับกัน เมื่อผู้ประกอบการ หรือผู้บริหารโรงงานได้แก้ไขข้อบกพร่องเสร็จสิ้นตามเงื่อนไขที่กระทรวงอุตสาหกรรมแนะนำ ภายใต้การบริหารของอุตสาหกรรมจังหวัด และอธิบดีกรมโรงงาน ทางกระทรวงฯ ก็จะอนุญาตให้เปิดดำเนินการได้ทันที เนื่องจากหากปิดนานเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะคนตกงาน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้

3. การพึ่งพาได้ : กระทรวงอุตสาหกรรมถือเป็น “หมวกใบที่ใหญ่ที่สุด” ในภาคอุตสาหกรรม ทุกระดับตั้งแต่รัฐมนตรี ปลัดกระทรวงฯ อธิบดี ไปจนถึงเจ้าหน้าที่และอุตสาหกรรมจังหวัด (ซึ่งถือเป็นม้าตัวแรก) จะต้องตรวจสอบและดูแลทุกเรื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวต่างชาติ และภายในประเทศ ว่ากระทรวงฯ ทำงานอย่างตรงไปตรงมา และใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์

“การทำงานในช่วงนี้ เป็นไปอย่างเข้มข้น เพราะมีเวลาทำงานจำกัดเพียง 120 วัน ตามที่ได้ประกาศไว้ชัดเจนภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายคือต้องไม่ให้มีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้น ข้าราชการของกระทรวงฯ มีความมั่นคง และเข้มแข็ง และเป็นที่พึ่งให้กับทั้งผู้ประกอบการและประชาชนได้” รมช.อุตสาหกรรม กล่าว

พร้อมยอมรับว่า การบริหารงานในขณะนี้เป็นระยะสั้น จึงจะเน้นหยิบยกโครงการที่เป็นประโยชน์และสามารถทำได้รวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนเห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมทำงานได้จริง มีโมเดลจริง

ชูขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผ่าน 4 มิติ

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงจุดยืนของกระทรวงฯ ในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่าน “MIND ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมคู่ชุมชน” โดยมีเป้าหมายเพื่อ “พัฒนาประเทศไทย ด้วยอุตสาหกรรมใหม่อย่างยั่งยืน” โดยย้ำว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบเดิม ซึ่งไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมได้อีกต่อไป โดยหัวใจสำคัญของ MIND คือการทำให้โรงงานอุตสาหกรรมยุคใหม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถเติบโตไปพร้อมกับชุมชนได้อย่างแท้จริง

โดยการขับเคลื่อนผ่านการทำงานแบบบูรณาการใน 4 มิติหลัก เพื่อสร้าง “อุตสาหกรรมที่รับผิดชอบ” และ “คุณภาพชีวิตดี” ให้แก่ประชาชน ประกอบด้วย 1. ความสำเร็จทางธุรกิจ ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม 2. การดูแลสังคมโดยรอบ เพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้ 3. การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียว และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และ 4. การกระจายรายได้สู่ชุมชน เพื่อสร้างอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิต

ส.อ.ท.ผลักดันปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมตอบโจทย์เศรษฐกิจ

นายอสิ ตัณสถิตย์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ประเทศไทยจำต้องปรับตัวอย่างชาญฉลาด มองไกล และลงมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และการเติบโตที่ยั่งยืนอยู่ แม้ GDP ไตรมาส 2/68 ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 2.8% แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังเติบโตต่อเนื่องด้วยมูลค่ารวม 737,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 132% โดยเฉพาะการลงทุน Digital Center ขนาดใหญ่จากสิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร ซึ่งช่วยยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค

“ไทยต้องปรับตัว เพื่อให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค และรองรับอุตสาหกรรมใหม่อย่าง AI และ Internet of Things (IoT) ขณะเดียวกัน ภาคการผลิตภายในประเทศ ก็มีการปรับตัวสู่ Smart และ Sustainable Industry ด้วย มีโครงการขอรับการส่งเสริมกว่า 365 โครงการ มูลค่ารวม 26,741 ล้านบาท เน้นประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทนบำบัดของเสีย และใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ” นายอสิ กล่าว

พร้อมระบุว่า แนวทางนี้สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และสังคมคาร์บอนต่ำ โดยตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2050 ส่งเสริมพลังงานสะอาด พัฒนาตลาดคาร์บอนมาตรฐานสากล และเร่งผลักดันกฎหมายสิ่งแวดล้อม เพื่อเปลี่ยนวิกฤตสิ่งแวดล้อมให้เป็นโอกาสใหม่ในการลงทุน และการเติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ส.อ.ท.ดำเนินการตามนโยบาย “ONE FTI” ผลักดันการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยให้ตอบโจทย์เศรษฐกิจอนาคต ทั้งการยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ให้ทันสมัย และการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งนโยบายนี้ เป็น “เรือธง” ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย และเติบโตเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน ด้วยพลังของ One Vision, One Team โดยรวมกันเป็น One Industrial Thailand เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างมั่นคง สมดุล และยั่งยืน ที่สำคัญในปีนี้คือการประกาศเจตนารมณ์การจัดการของเสียอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างเป็นรูปธรรม

กนอ.เร่งปลดล็อคอุปสรรค

ด้าน นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ปีนี้ กนอ. มุ่งผลักดันโครงการ Quick Win ที่จะเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมภายในระยะเวลาอันสั้น เช่น การปลดล็อคปัญหาอุปสรรคของการลงทุนด้วยกระบวนการอนุมัติ-อนุญาตที่รวดเร็ว โปร่งใส และถูกต้อง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการฟื้นการลงทุน หนุนผู้ประกอบการ และสร้างความยั่งยืน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ

ขณะที่ นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า กนอ. มุ่งมั่นสร้างภูมิทัศน์อุตสาหกรรมใหม่ (Industrial Landscape) เพื่อผลักดันให้นิคมอุตสาหกรรมเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและดึงดูดนักลงทุน ภายใต้แนวคิด “พัฒนาประเทศไทย ด้วยอุตสาหกรรมใหม่อย่างยั่งยืน”

โดย กนอ. จะดำเนินการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การใช้พลังงานสะอาดและจัดการของเสียแบบ Close Loop, พัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว, ปรับปรุงการบริการสู่ระบบดิจิทัล, และพัฒนาทุนมนุษย์ให้สอดรับกับเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 68)