ครม.เคาะมาตรการ “เที่ยวดีมีคืน” หักค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษี หวังดัน GDP โค้งสุดท้ายไม่ตกท้องช้าง

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนของการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงการเร่งใช้จ่ายภาครัฐ ด้วยการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ในเสาหลักที่ 1 ของ “Quick Big Win” ทั้งหมด 5 เสาหลักของนโยบายรัฐบาล

โดยการจัดทำมาตรการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไทย หันกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง รวมทั้งการจูงใจให้ภาคเอกชนปรับปรุงโรงแรมที่พัก และแหล่งท่องเที่ยว ผ่านกลไภภาษี ที่ครอบคลุมทั้งมาตรการที่ให้กับบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล โดยมุ่งเน้นให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ส่งผลกระทบเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการในระยะยาว และเกิดการกระจายตัวอย่างทั่วถึง

โดยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ประกอบด้วย 5 มาตรการย่อย ดังนี้

1. มาตรการภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว

ให้บุคคลธรรมดา นำค่าที่พักในโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย หรือค่าที่พักในสถานที่พัก (ที่ไม่เป็นโรงแรม) และค่าบริการของร้านอาหาร ที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ สามาถนำมาหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง ดังนี้

1.1 ค่าที่พักหรือค่าบริการของร้านอาหาร ที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ที่อยู่ในรูปแบบกระดาษหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ไม่เกิน 10,000 บาท

1.2 ค่าที่พักหรือค่าบริการของร้านอาหาร ที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เท่านั้น เพิ่มจากข้อ 1.1 ได้อีกจำนวนไม่เกิน 10,000 บาท

สำหรับการท่องเที่ยวเมืองรอง ประกอบด้วยจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด และพื้นที่บางอำเภอในจังหวัด 15 จังหวัด (ตามเอกสารแนบ) สามารถหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายตามข้อ 1.1 และ/หรือข้อ 1.2 ได้ 1.5 เท่า ของจำนวนที่จ่ายจริง (ลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาท)

 

2. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนนิติบุคคลในการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ

ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ได้จ่ายค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่จัดให้แก่ลูกจ้าง และค่าบริการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 โดยจ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เว้นแต่ค่าขนส่งจะจ่ายให้แก่ผู้มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ แต่ต้องได้ใบรับที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) สามารถหักรายจ่ายดังกล่าวได้ดังนี้

(1) หักรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรอง (ตามเอกสารแนบ)

(2) หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในท้องที่อื่นนอกจากท้องที่ตามข้อ (1)

(3) ในกรณีที่การจัดอบรมสัมมนาครั้งหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นในท้องที่ตามข้อ (1) และข้อ (2) ต่อเนื่องกัน ให้หักรายจ่ายที่สามารถแยกได้โดยชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดตามข้อ (1) หรือข้อ (2) แล้วแต่กรณี และให้หักรายจ่ายที่ไม่สามารถแยกได้โดยชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง

 

3. มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (Front Load)

ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในส่วนของการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงาน ไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงินฝึกอบรม ประชุม สัมมนา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 โดยให้พิจารณาดำเนินการในเมืองท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองเป็นลำดับแรก

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้การขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ (KPI) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ (เฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินงานตามปีงบประมาณ) และ อปท. โดยขอความร่วมมือกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประสาน อปท. พิจารณาจัดการอบรมสัมมนาในท้องถิ่นอื่น และให้รายงานผลการเบิกจ่ายดังกล่าว ต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐต่อไป พร้อมทั้งกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง จะพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่พักและค่าอาหาร สำหรับการจัดฝึกอบรมในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

 

4. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก

ให้บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรม สามารถหักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ (โดยไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม) 2 เท่า ของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569 สำหรับทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ ประกอบด้วย

(1) อาคารถาวร ที่มีไว้ใช้ในการประกอบกิจการโรงแรม

(2) เครื่องตกแต่ง หรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นส่วนประกอบ และยึดติดกับอาคารเป็นการถาวร

โดยให้หักรายจ่ายเท่าแรก เป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินตามปกติ และทยอยหักรายจ่ายเท่าที่ 2 เป็นระยะเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชีในจำนวนที่เท่ากันทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้เริ่มหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมแหล่งเงินสำหรับรองรับการปรับปรุงโรงแรมที่พัก โดยธนาคารออมสิน ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

 

5. มาตรการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ

ขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่า จาก 10% เป็น 5% ออกไปอีก 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิต ได้มีการบูรณาการร่วมมือกรมการปกครอง ให้นำผู้ประกอบการมาจดทะเบียนสถานประกอบการ เพื่อขยายฐานภาษีสรรพสามิตต่อไป

 

คลัง ลุ้นมาตรการกระตุ้นบริโภค-ท่องเที่ยว ดัน GDP ไตรมาส 4 โต 1%

ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทั้ง 5 มาตรการย่อยนี้ หวังว่าจะมาช่วยเติมเต็มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ (GDP) ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งแม้จะเป็นเม็ดเงินที่ลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่มากนัก เพราะเป็นเงินเดิม ไม่ใช่เงินใหม่ เช่น กรณี front Load ที่โยกเข้ามาให้ใช้จ่ายได้เร็วขึ้น รวมแล้วประมาณ 13,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่สำคัญคือ จะช่วยสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงปลายปีให้กลับมาคึกคักมากขึ้น

“เราหวังว่า 5 มาตรการย่อยนี้ จะมาช่วยเติมเต็ม GDP ในช่วง Q4 ไม่ให้ตกท้องช้าง ซึ่งมีมาตรการอื่นมากระตุ้นแล้ว และมาตรการนี้ จะเข้ามาเสริม มาเติม ที่สำคัญที่สุดคืออยากเห็นบรรยากาศของการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก และต่อยอดกิจกรรมอื่น ๆ รวมทั้งเพิ่มการใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้มากยิ่งขึ้น” ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ

ด้านนายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงการเร่งใช้จ่ายภาครัฐด้วยการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะช่วยกระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 0.04% ในช่วงไตรมาส 4/68 (ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569)

ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ ครม.อนุมัติไปก่อนหน้านี้ คือ การเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการคนละครึ่ง พลัส คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจราว 1.1 แสนล้านบาท หรือช่วยกระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้นอีก 0.4% ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะช่วยดัน GDP ในไตรมาส 4 ปีนี้ให้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีกราว 0.44-0.45% ซึ่งเมื่อรวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดแล้ว คาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้ GDP จะขยายตัวได้ราว 1%

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 68)