สถานการณ์ความปั่นป่วนของการเดินทางทางอากาศในสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น หลังมีเที่ยวบินล่าช้าทั่วประเทศมากกว่า 5,600 เที่ยวบินในวันจันทร์ (27 ต.ค.) เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศขาดงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่การชัตดาวน์รัฐบาลกลางได้ดำเนินมาถึงวันที่ 27 แล้ว
สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ชี้ถึงปัญหาขาดแคลนบุคลากร และได้ดำเนินมาตรการจำกัดการบินขึ้นลง (ground delay program) ที่สนามบินนวร์กในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สนามบินออสตินในรัฐเท็กซัส และสนามบินนานาชาติดัลลัสฟอร์ตเวิร์ธ โดยก่อนหน้านี้ เที่ยวบินในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ก็เกิดความล่าช้า เนื่องจากการขาดแคลนเจ้าหน้าที่อย่างมากที่ศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศแอตแลนตา
เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศราว 13,000 คน และเจ้าหน้าที่สำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการขนส่ง (TSA) จำนวน 50,000 คน ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง หลังจากเกิดความไม่ลงรอยกันด้านงบประมาณระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครตในสภาได้จุดชนวนให้เกิดการชัตดาวน์ โดยในวันอาทิตย์ (26 ต.ค.) มีเที่ยวบินล่าช้ากว่า 8,800 เที่ยวบิน
ทั้งนี้ คณะบริหารของทรัมป์ได้เตือนว่า ความปั่นป่วนของเที่ยวบินจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากในวันอังคาร (28 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ควบคุมฯ จะไม่ได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนเป็นงวดแรก
ไฟลท์อะแวร์ (FlightAware) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบินเปิดเผยว่า สายการบินเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ (Southwest Airlines) มีเที่ยวบินล่าช้า 47% หรือ 2,089 เที่ยวบินในวันอาทิตย์ ขณะที่อเมริกันแอร์ไลน์ (American Airlines) ล่าช้า 36% หรือ 1,277 เที่ยวบิน ส่วนยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (United Airlines) ล่าช้า 27% หรือ 807 เที่ยวบิน และเดลตาแอร์ไลน์ (Delta Air Lines) ล่าช้า 21% หรือ 725 เที่ยวบิน
ขณะที่เมื่อวันจันทร์ (27 ต.ค.) ณ เวลา 19:00 น. สายการบินเซาท์เวสต์แอร์ไลน์มีเที่ยวบินล่าช้า 31%, อเมริกันแอร์ไลน์ 24%, เดลตาแอร์ไลน์ 18% และยูไนเต็ดแอร์ไลน์ 12%
เจ้าหน้าที่กระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า 44% ของความล่าช้าในวันอาทิตย์มีสาเหตุจากการขาดงานของเจ้าหน้าที่ควบคุม ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับปกติที่ 5% โดยความล่าช้าและการยกเลิกเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นนี้กำลังสร้างความไม่พอใจให้กับสาธารณชน และเพิ่มแรงกดดันต่อฝ่ายนิติบัญญัติให้เร่งหาทางยุติภาวะชัตดาวน์โดยเร็ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 68)
