“พาณิชย์” เอาจริง! กำชับร้านค้า “คนละครึ่งพลัส” ติดป้ายราคาสุทธิ-ไม่บวก VAT เพิ่ม

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประชุมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ และให้คำแนะนำร้านค้าทุกราย โดยเน้นย้ำว่าร้านค้าต้องติดป้ายแสดง “ราคาจำหน่ายสุดท้าย” ที่รวมภาษีไว้แล้ว ซึ่งหากร้านอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาสินค้าทุกรายการต้องแสดงราคาจำหน่ายที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ไว้แล้ว

โดยหากร้านค้าที่เป็นร้านอาหาร จะต้องมีการแสดงราคาอาหาร และหากมีรายการค่าใช้จ่ายอื่นก็ต้องแสดงไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้เปรียบเทียบก่อนซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการ และกรณีร้านค้าที่เข้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ร้านค้าต้องจำหน่ายสินค้าในราคาที่เท่ากัน ทั้งผู้ใช้สิทธิ์คนละครึ่ง และผู้ชำระเงินสด เพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อผู้บริโภคทุกกลุ่ม

 

  • พบเรื่องร้องเรียนร้าน “คนละครึ่งพลัส” 112 เรื่อง

นายวิทยากร กล่าวว่า ในระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-4 พ.ย. 68 กรมการค้าภายใน ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนทั่วประเทศ 112 เรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร, การไม่ติดป้ายราคา, การคิดราคาสินค้าเพิ่มเมื่อใช้สิทธิ์คนละครึ่ง และการแสดงราคาจำหน่ายปลีกไม่ตรงกับราคาที่จำหน่าย ขณะที่กรณีร้องเรียนเรียกเก็บ VAT เพิ่มเติมจากราคาที่ติดป้ายแสดง ถือเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายเอาเปรียบประชาชน และต้องถูกดำเนินคดีอย่างเข้มงวด

นายวิทยากร กล่าวว่า กรมฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าที่ถูกร้องเรียนในพื้นที่ เขตหนองจอก กรุงเทพฯ โดยเจ้าหน้าที่สายตรวจได้มีการล่อซื้อสินค้าจากร้านค้า และพบพฤติกรรมการจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงขึ้น เมื่อจะใช้สิทธิ์ในโครงการคนละครึ่งพลัส และยังมีการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่าย

เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ฉบับที่ 68 พ.ศ. 2568 ข้อ 3 และข้อ 11 เข้าข่ายผิดตามมาตรา 28 และมีโทษตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 พร้อมปรับเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท

ส่วนในจังหวัดบุรีรัมย์ ตรวจสอบขยายผลจากการร้องเรียน พบว่าร้านค้ายอมรับว่ามีการคิดราคาจำหน่ายสินค้า โดยบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากประชาชนอีก 7% เพิ่มจากราคาป้ายแสดงราคา โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด แจ้งข้อหาจำหน่ายสินค้าไม่ตรงกับป้ายราคาที่แสดง และปรับเป็นเงินจำนวน 1,000 บาท พร้อมชี้แจงแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่งร้านค้าได้รับว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

นอกจากนี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดขอนแก่น ได้ตรวจสอบร้านค้าธงฟ้าฯ แห่งหนึ่ง ใน ต.แดงใหญ่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น พบว่ามีการรับแลกสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเงินสด ทั้งที่ร้านปิดกิจการมานานกว่า 3 เดือนแล้ว ซึ่งเข้าข่ายผิดเงื่อนไขโครงการ เจ้าหน้าที่ได้เพิกถอนสิทธิ์เข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้า และแจ้งกรมบัญชีกลางระงับการใช้งานแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ทันที เพื่อป้องกันการนำสิทธิ์ของประชาชนไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง

นายวิทยากร กล่าวว่า ในส่วนของร้านค้าที่เป็นร้านค้าธงฟ้าฯ ทุกแห่ง ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของกรมการค้าภายใน และ “กฎเหล็กร้านธงฟ้า” อย่างเคร่งครัดด้วย ได้แก่ ห้ามแลกสิทธิสวัสดิการเป็นเงินสด ห้ามบังคับซื้อสินค้า ห้ามขายเกินราคา หรือฉวยโอกาสขึ้นราคา ห้ามจำหน่ายสุรา บุหรี่ เบียร์ และห้ามปฏิเสธการใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ หากฝ่าฝืน จะถูกเพิกถอนสิทธิ์เข้าร่วมโครงการทันที

“กรมฯ ยังคงติดตาม ตรวจสอบ และให้ความรู้แก่ร้านค้าทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้องและป้องกันปัญหาความเข้าใจกฎหมายคลาดเคลื่อน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค” อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าว

ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นร้านค้าฝ่าฝืน ไม่ติดป้ายแสดงราคาจำหน่าย หรือคิดราคาไม่ตรงป้าย หรือฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ที่ สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันรักษาความเป็นธรรมทางการค้า และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างทั่วถึง

 

  • “คนละครึ่ง พลัส” ยอดใช้จ่ายทั่วไทย กว่า 1.8 หมื่นล้าน

กระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” โดยระบุว่า ณ วันที่ 5 พ.ย.68 เวลา 23.00 น. มียอดใช้จ่ายรวมกว่า 18,042.35 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย จำนวน 9,131.89 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่าย จำนวน 8,910.46 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 ระหว่างเวลา 06.00-23.00 น. ผ่าน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยในแต่ละวันไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายให้เต็มสิทธิ 200 บาท

สำหรับความคืบหน้าของการลงทะเบียนร้านค้าในโครงการฯ จากข้อมูลสะสม มีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้ว 858,991 ราย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 68)