
นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ผู้นำญี่ปุ่นยืนยันวันนี้ (10 พ.ย.) ว่า รัฐบาลจะยังไม่ล้มเลิกเป้าหมายด้านวินัยการคลังในทันที อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีแผนจะทบทวนแนวทางการฟื้นฟูการคลังที่ใช้เกณฑ์แบบปีต่อปีอยู่ในปัจจุบัน
ทาคาอิจิกล่าวระหว่างการประชุมรัฐสภาว่า เธอจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่เริ่มพิจารณาการนำแนวทางแบบ “หลายปี” มาใช้ประเมินสถานะการคลังในเดือนม.ค. นี้ แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนหน้านี้ เธอเคยประกาศว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจ
ปัจจุบัน สถานะการคลังของญี่ปุ่นย่ำแย่ที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายที่จะทำให้งบประมาณเกินดุลขั้นต้น (primary balance surplus) ให้ได้ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2569 การเกินดุลขั้นต้นหมายถึงการที่รายรับจากภาษีและอื่น ๆ สูงกว่ารายจ่าย (ไม่รวมต้นทุนหนี้สิน) ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องออกพันธบัตรใหม่
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (7 พ.ย.) ทาคาอิจิเคยกล่าวว่าเธออาจไม่ยึดมั่นกับเป้าหมายการทำงบประมาณเกินดุลขั้นต้น ความเห็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนในตลาดบางส่วนตีความว่า นี่เป็นสัญญาณปูทางไปสู่การใช้จ่ายทางการคลังที่มากขึ้น ขณะนี้หนี้สาธารณะของญี่ปุ่นมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของขนาดเศรษฐกิจ ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้จะเพิ่มสูงขึ้น หากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นและธนาคารกลางยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เป้าหมายการทำงบประมาณเกินดุลขั้นต้นนี้ประกาศใช้ครั้งแรกในปีงบประมาณ 2544 แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จและถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง ล่าสุดในเดือนมิ.ย. รัฐบาลชุดก่อนของชิเงรุ อิชิบะ ได้ตัดสินใจเลื่อนเป้าหมายจากเดิมปีงบประมาณ 2568 ออกไปเป็น “ภายในช่วงปีงบประมาณ 2568-2569”
ทั้งนี้ ทาคาอิจิกล่าวย้ำต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ว่า รัฐบาลของเธอจะไม่ยกเลิกมติที่คณะรัฐมนตรีชุดก่อนได้อนุมัติไว้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 68)





