OSP โชว์เหนือด้วยกลยุทธ์ ROI-driven ดันกำไร Q3/68 พุ่งแม้ยอดขายหดจากเศรษฐกิจซบ-ปิดด่านชายแดน

นางสาวรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer บมจ.โอสถสภา [OSP] เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/68 บริษัทมีกำไรสุทธิ 699.98 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.23 บาท พลิกจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 361.2 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.12 บาท

OSP ทำรายได้จากการขาย 5,604 ล้านบาท ลดลง 7.3 (YoY) และ 17.7%(QoQ) เป็นผลมาจากรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลที่ลดลงจากกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนตัวจากสภาวะเศรษฐกิจ และผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนเมียนมา ประกอบกับรายได้จากการขายกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในอินโดนีเซียและกัมพูชาได้รับผลกระทบจากปัจจัยมหภาค และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในเมียนมาที่ชะลอตัวในช่วงต้นของไตรมาสจากปัจจัยด้านฤดูกาลและความไม่แน่นอนทางการเมืองแต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในเดือนกันยายน

แต่บริษัทเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างมีวิสัยทัศน์ ประกอบกับประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากปรับสัดส่วนกำลังการผลิตให้เหมาะสม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้น ปรับกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ (ROI-driven) ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงถึง 13.0% จากไตรมาสก่อน

ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 ยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางภาวะตลาดที่ท้าทาย โดยรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศเติบโต 4.7% (YoY) และ 2.4% (QoQ) สวนทางกับตลาดเครื่องดื่มในประเทศที่ชะลอตัว ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มในประเทศอย่างชัดเจน รักษาความเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาดคงที่ที่ 44.4% ด้วยกลยุทธ์ Brand Portfolio ที่มีผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกระดับราคา การทำกิจกรรมการตลาดตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์อันดับหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการทำตลาดเชิงรุกปรับกลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย (Route to Market) เพื่อให้มั่นใจว่ามีจุดจำหน่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในช่องทางร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง

ด้านกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ยังคงเติบโตต่อเนื่องมีส่วนแบ่งการตลาด 47.8% เพิ่มขึ้น 0.3% จากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะเครื่องดื่มเปปทีนที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น 0.9% ตอบโจทย์กระแสรักสุขภาพ และเครื่องดื่มซี-วิท ยังคงเป็นผู้นำอันดับหนึ่งกลุ่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซีด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 77.6% สะท้อนความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจ

ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคล แบรนด์ ‘เบบี้มายด์’ ยังคงครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งตลาดผลิตภัณฑ์สบู่เหลวอาบน้ำเด็ก อันดับสองในตลาดผลิตภัณฑ์แป้งเด็ก และแบรนด์ทเวลฟ์พลัสครองอันดับสองในกลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายสำหรับผู้หญิง โดยทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ต่อยอดจุดแข็งด้านความอ่อนโยนของแบรนด์ ‘เบบี้มายด์’ ขยายเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น (Feminine Wash) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่เปิดตัว และก้าวขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ขายดีในร้านวัตสันได้สำเร็จ

นางสาวรติพร กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสดและวงจรเงินทุนหมุนเวียน (Cash Conversion Cycle) อย่างเข้มงวด เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินรักษาขีดความสามารถในการทำกำไรท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน

ทั้งนี้ ภาพรวม 9 เดือนแรกบริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 2,680 ล้านบาท เติบโต 10.6% (YoY) จากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างมีวิสัยทัศน์ ภายใต้กลยุทธ์ที่ชัดเจนและการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การบริหารลูกหนี้และระดับสินค้าคงเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดภาระหนี้สินที่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยได้ตามแผน มุ่งยกระดับศักยภาพการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ แม้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้าและกำลังซื้อที่อ่อนตัว เรายังสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายและบริหารต่อรายได้รวมได้ดีเยี่ยม เพื่อสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ย. 68)