
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามกฎหมายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ส่งผลให้ทางการจีนออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า กฎหมายว่าด้วยการดำเนินการรับประกันไต้หวัน (Taiwan Assurance Implementation Act) ซึ่งทรัมป์ลงนามให้มีผลบังคับใช้เมื่อวันอังคาร (2 ธ.ค.) กำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ต้องทบทวนและปรับปรุงแนวทางการติดต่อประสานงานอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ กับไต้หวัน ซึ่งจีนมองว่าเป็นมณฑลที่แยกตัวออกไปและจะต้องรวมเข้ากับแผ่นดินใหญ่ในสักวันหนึ่ง แม้จะต้องใช้กำลังก็ตาม
กฎหมายดังกล่าว ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยหลักประกันไต้หวัน ปี 2563 (Taiwan Assurance Act of 2020) ระบุว่า การทบทวนจะต้องดำเนินการอย่างน้อยทุก 5 ปี โดยกระทรวงต่างประเทศมีหน้าที่ต้องยื่นรายงานที่ปรับปรุงแล้วต่อรัฐสภา
แอน แวกเนอร์ สส.จากพรรครีพับลิกัน ผู้สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว ได้โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียว่า กฎหมายดังกล่าวเป็น “ก้าวสำคัญที่แข็งแกร่งในการสนับสนุนไต้หวันอย่างไม่เปลี่ยนแปลงของเรา” และจะ “ช่วยให้เราสามารถป้องกันไม่ให้จีนขยายฐานที่มั่นอันตรายในภูมิภาคและทั่วโลก”
ทั้งนี้ ไต้หวันแสดงความขอบคุณต่อการลงนามกฎหมายฉบับดังกล่าวของทรัมป์ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรค และผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในเดือนพ.ค. และวุฒิสภาในเดือนพ.ย.
คาเรน กัว โฆษกสำนักประธานาธิบดีไต้หวัน ระบุว่า กฎหมายดังกล่าว “ตอกย้ำถึงคุณค่าของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวัน สนับสนุนความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างไต้หวัน-สหรัฐฯ และเป็นสัญลักษณ์ที่มั่นคงถึงค่านิยมร่วมกันของเราในประชาธิปไตย เสรีภาพ และการเคารพสิทธิมนุษยชน”
ขณะเดียวกัน จีนได้ออกมาคัดค้านความเคลื่อนไหวดังกล่าว รวมถึงการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการใด ๆ ระหว่างสหรัฐฯ กับ “ภูมิภาคไต้หวันของจีน”
หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธว่า “ประเด็นไต้หวันถือเป็นแกนผลประโยชน์หลักของจีน และเป็นเส้นแดงเส้นแรกที่ต้องไม่ถูกล่วงล้ำในความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ หลักการจีนเดียวคือรากฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ธ.ค. 68)





