ฟิทช์ ลดแนวโน้มเครดิต “ไทยเบฟ” เป็น Negative หนี้สูงหลังเข้าซื้อหุ้น Vinamilk-ผลงานอ่อนแอ

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ (ThaiBev) เป็น “ลบ” จาก “มีเสถียรภาพ” คงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ของ ThaiBev ที่ ‘BBB-’ และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ที่ ‘AA(tha)’ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ ‘AA(tha)’

แนวโน้มเครดิตเป็นลบสะท้อนถึงความเสี่ยงจากระดับหนี้ที่สูงในช่วง 12 – 18 เดือนข้างหน้า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของ ThaiBev เพิ่มขึ้นเป็น 4.1 เท่า ในปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 (ปีงบการเงิน 2568) จาก 3.8 เท่า ณ สิ้นปีงบการเงิน 2567 และฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่าในปีงบการเงิน 2569 ซึ่งสูงกว่าระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต สาเหตุเกิดจากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงและการประกาศเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมใน Vietnam Dairy Products Joint Stock Company (Vinamilk)

การลดอัตราส่วนหนี้สินช้ากว่าที่ฟิทช์คาดในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูงและผลประกอบการที่ต่ำกว่าที่คาด ฟิทช์เชื่อว่า บริษัทฯ จำเป็นต้องดำเนินนโยบายเพื่อรักษาสถานะทางการเงิน ในช่วงเวลาที่ผลการดำเนินงานยังอ่อนแอ เพื่อให้อัตราส่วนหนี้สินลดลงสู่ระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัทฯ ฟิทช์เห็นว่าในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯสูงขึ้นในปีงบการเงิน 2568 บริษัทฯ ยังเพิ่มการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงกว่าที่ฟิทช์คาดไว้ และมีการซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง

 

*ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

  • ความเสี่ยงด้านการลดอัตราส่วนหนี้สิน: ฟิทช์คาดว่า EBITDA net leverage ของ ThaiBev จะยังอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 3.5- 4.0 เท่า ในช่วงปีงบเงิน 2569 – 2570 เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอจะยังคงกดดันผลประกอบการในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า อัตราส่วน EBITDA net leverage ของ ThaiBev ในปีงบการเงิน 2568 อยู่ที่ 4.1 เท่าซึ่งสูงกว่าที่ฟิทช์คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.4 เท่า เป็นผลจากยอดขายที่ต่ำกว่าคาด ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สูงกว่าคาด ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่สูงขึ้นจากโรงงานผลิตนมใน,เลเซีย และการเข้าซื้อกิจการขนาดเล็กในประเทศเวียดนาม

การที่บริษัทย่อยของ ThaiBev ซึ่งได้แก่ Fraser and Neave, Limited ประกาศซื้อหุ้นเพิ่มใน Vinamilk อีกร้อยละ 4.6

โดยมีมูลค่าประมาณ 7.2 พันล้านบาท จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของ ThaiBev ปรับตัวลดลงในอัตราที่ช้าและยังคงอยู่ในระดับสูงในปีงบการเงิน 2569
  • รายได้ที่เติบโตช้า: ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ ThaiBev จะเติบโตในระดับต่ำ ในช่วงปีงบการเงิน 2569 – 2570 โดยยอดขายในปีงบการเงิน 2568 ลดลงร้อยละ 2 ซึ่งต่ำกว่าที่ฟิทช์เคยคาดการณ์ว่าจะเติบโตร้อยละ 2 โดยอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น่าจะยังคงเผชิญความท้าทายต่อเนื่องในช่วง 12 – 18 เดือนข้างหน้าจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้าและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอ่อนแอและการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หดตัวทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้สุทธิหลังหักภาษีสรรพสามิต (EBITDA margin) มีแนวโน้มทรงตัวที่ร้อยละ 22 – 23 (หลังหักภาษีสรรพสามิต) (ปีงบการเงิน 2568: ร้อยละ 22.0)

ฟิทช์คาดว่าต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงในธุรกิจสุราและเบียร์จะช่วยชดเชยผลกระทบจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูงขึ้นสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้การแข่งขันที่สูง
  • กระแสเงินสดสุทธิเป็นบวก: ฟิทช์คาดว่า ThaiBev จะมีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกประมาณ 6-9 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปีงบการเงิน 2569 – 2570 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตเล็กน้อยของกำไรและ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่ลดลงThaiBev มีแนวโน้มที่จะใช้กระแสเงินสดเพื่อลดหนี้เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การลดหนี้อาจล่าช้าเนื่องจากบริษัทฯมีกลยุทธ์ในการเข้าซื้อกิจการ กระแสเงินสดสุทธิในปีงบการเงิน 2568 ต่ำกว่าที่ฟิทช์คาดไว้เนื่องจากยอดขายที่ลดลงท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย การเร่งใช้จ่ายเงินลงทุนจากปีงบการเงิน 2569 และเงินปันผลรับจาก Vinamilk ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่ลดลง
  • ค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่ลดลง: ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายในการลงทุนและเงินลงทุนของบริษัทฯ จะลดลงในช่วง 2-3ปี ข้างหน้า
สู่ระดับ 1.1 หมื่นล้านบาทในปีงบการเงิน 2569 และ 9 พันล้านบาทในปีงบการเงิน 2570 จากระดับสูงสุดราว 1.4 หมื่นล้านบาทในปีงบการเงิน 2568 โดย ค่าใช้จ่ายในการลงทุนในปีงบการเงิน 2569 จะใช้เพื่อโครงการลงทุนสำคัญ 2 โครงการในประเทศกัมพูชาและมาเลเซียให้แล้วเสร็จ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนตั้งแต่ปีงบการเงิน 2570 เป็นต้นไปจะถูกใช้สำหรับการซ่อมบำรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเป็นหลัก
  • ผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำในภูมิภาค: สถานะทางธุรกิจของ ThaiBev ได้รับการสนับสนุนจากการเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาค รวมถึงสถานะผู้นำในตลาดสุราในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณการจำหน่ายสุรา บริษัทฯยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในระดับร้อยละ 35 – 40 ของปริมาณการจำหน่ายเบียร์ในประเทศไทยและเวียดนาม
การขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศเวียดนามและเมียนมา ช่วยให้ ThaiBev มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยให้มีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่ดีขึ้น โดยสัดส่วนรายได้จากประเทศไทยลดลงเหลือประมาณร้อยละ 65 จากเดิมที่สูงกว่าร้อยละ 90 ในปีงบการเงิน 2560
  • การรวมงบการเงินตามสัดส่วนของ Sabeco: ฟิทช์ได้รวมงบการเงินของ Saigon Beer-Alcohol-Beverage Corporation
(Sabeco) ตามสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อสะท้อนสัดส่วนการถือหุ้นของ ThaiBev ที่ร้อยละ 53.6 แม้ว่า ThaiBev จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ฟิทช์เห็นว่าการใช้วิธีดังกล่าวสอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจของการเข้าถึงกระแสเงินสดของกลุ่ม เนื่องจากมีส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในระดับสูง

 

*การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

Bacardi Limited (BBB-/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) มีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์มากกว่า ThaiBev เนื่องจากผลิตภัณฑ์จำหน่ายในมากกว่า 160 ตลาดทั่วโลก แม้มีขนาดการดำเนินงานเล็กกว่าทั้งสองบริษัทมีสถานะทางการเงินคล้ายกัน เนื่องจากอยู่ในช่วงลดอัตราส่วนหนี้สินหลังการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในปี 2560-2561 ส่งผลให้อันดับเครดิตอยู่ในระดับเดียวกัน

ThaiBev มีสถานะทางธุรกิจแข็งแกร่งกว่าผู้ผลิตเบียร์จากตุรกี Anadolu Efes Biracilik ve Malt Sanayii A.S. (Efes, BB/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) โดยมีขนาดการดำเนินงานใหญ่กว่าและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์มากกว่า Efes กำลังเผชิญความท้าทายในประเทศตุรกี รัสเซีย และยูเครน อันดับเครดิตของ Efes สะท้อนอัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นจากการลดลงของขนาด การกระจายตัว และสถานะตลาดโดยรวมภายหลังการเลิกการรวมงบการเงินของธุรกิจในรัสเซีย ดังนั้น ThaiBev จึงมีอันดับเครดิตที่สูงกว่า Efes สะท้อนสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งกว่า

Becle, S.A.B. de C.V. (BBB/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) มีสถานะธุรกิจแข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตเตกีลาชั้นนำของโลก แม้ThaiBev มีขนาดใหญ่กว่า Becle ด้านสถานะทางการเงิน Becle แข็งแกร่งกว่า โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิราว 2.0 เท่าส่งผลให้อันดับเครดิตของ Becle สูงกว่า ThaiBev

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ThaiBev อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตของ บมจ.ปตท. [PTT] ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ThaiBev มีสถานะทางธุรกิจที่ใกล้เคียง ปตท.โดย ปตท. มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า และมีการกระจายตัวของธุรกิจมากกว่า ซึ่งช่วยลดทอนความผันผวนที่เกิดจากธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ปตท. มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า โดยมีอัตราส่วน EBITDA Net Leverage อยู่ที่ระดับประมาณ 2.0 เท่า

 

*สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
  • รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายใต้แบรนด์ของ ThaiBev ในประเทศไทยเติบโตในระดับต่ำ ในปีงบการเงิน 2569 – 2570 จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอและการปรับขึ้นราคาที่จำกัดท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถาวะเศรษฐกิจ
  • รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) ของ Grand Royal Group (GRG) บริษัทย่อยในประเทศเมียนมา เติบโตในอัตราร้อยละ 6 – 7 ต่อปี ในปีงบการเงิน 2569 – 2570 จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและสถานะผู้นำตลาด
  • รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) ของ Sabeco ค่อยๆฟื้นตัวในปีงบการเงิน 2569 จากการฟื้นตัวของความต้องการในเวียดนามหลังจากรายได้ลดลงในช่วงสามปีที่ผ่านมา
  • รายได้สุทธิ (หลังหักภาษีสรรพสามิต) ของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เติบโตในระดับปานกลางที่ร้อยละ 3 – 5 ในปีงบการเงิน 2569 – 2570 โดยได้รับแรงหนุนจากการสร้างโรงงานใหม่ในประเทศมาเลเซียและกัมพูชา
  • รายได้ของธุรกิจอาหารฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปร้อยละ 2 – 3 ในปีงบการเงิน 2569 – 2570
  • EBITDA margin (โดยเป็นสัดส่วนต่อรายได้สุทธิหลังหักภาษีสรรพสามิต) อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 22 – 23 ในปีงบการเงิน 2569–2570 (ในปีงบการเงิน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 22.0) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงจะช่วยชดเชยด้วยแรงกดดันจากเงินเฟ้อและต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 9 พันล้านบาท – 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปีงบการเงิน 2569 – 2570
  • อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) อยู่ที่ร้อยละ 50 -55 ในปีงบการเงิน 2569 – 2570

สภาพคล่อง

ThaiBev มีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือน จากสิ้นปีงบการเงิน 2568 จำนวน 4.4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและตั๋วแลกเงินประมาณ 7.7 พันล้านบาทซึ่งมีแนวโน้มที่จะต่ออายุ ส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้ธนาคาร 2.3 หมื่นล้านบาท และและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากเงินสดคงเหลือ 3.7 หมื่นล้านบาท (ซึ่งไม่รวมเงินสดที่มีภาระผูกพันตามคำจำกัดความของฟิทช์)

และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินประเภทไม่สามารถยกเลิกได้ (committed revolving facilities) ที่ยังไม่ได้เบิกถอนประมาณ 5.3 พันล้านบาท สภาพคล่องของบริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากความสามารถเข้าถึงตลาดทุนและเงินกู้ยืม จากสถานะทางเครดิตและการกระแสเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่งของ ThaiBev

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ธ.ค. 68)