
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือน พ.ย.68 อยู่ที่ 5,554 ราย ลดลง 1,611 ราย หรือคิดเป็น 22% เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.68 แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (พ.ย.67) จะลดลง 712 ราย คิดเป็น 11% โดยมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 14,860 ล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในภาวะชะลอตัว
สำหรับการจัดตั้งธุรกิจใหม่ ที่ขยายตัวอย่างเพิ่มขึ้นใน 3 อันดับแรก ได้แก่
1) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด มีจำนวน 1,339 ราย เพิ่มขึ้น 428 ราย คิดเป็น 46.98% ทุนจดทะเบียน 12,882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,476 ล้านบาท
2) ธุรกิจการขายส่งสินค้าทั่วไป โดยได้รับค่าตอบแทนฯ มีจำนวน 1,426 ราย เพิ่มขึ้น 437 ราย คิดเป็น 44.19% ทุนจดทะเบียน 2,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 577 ล้านบาท
3) ธุรกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร มีจำนวน 1,876 ราย เพิ่มขึ้น 415 ราย คิดเป็น 28.41% ทุนจดทะเบียน 2,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 531 ล้านบาท
ขณะที่การจัดตั้งธุรกิจใหม่ช่วง 11 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวน 80,064 ราย เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (83,219 ราย) ลดลง 3,155 ราย คิดเป็น 4% โดยทุนจดทะเบียนตั้งใหม่ 11 เดือน สะสมอยู่ที่ 250,852 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (262,850 ล้านบาท) ลดลง 11,999 ล้านบาท คิดเป็น 5%
สำหรับการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการในเดือน พ.ย.68 มีจำนวน 2,494 ราย เพิ่มขึ้น 196 ราย คิดเป็น 9% เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.68 แต่หากเทียบกับเดือนพ.ย.67 จะลดลง 358 ราย คิดเป็น 13%
ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 พ.ย.68 มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลในประเทศ รวมทั้งสิ้น 2,044,893 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.73 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 970,081 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 23.32 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 770,906 ราย ห้างหุ้นส่วนจำกัด และห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 197,671 ราย และบริษัทมหาชน จำกัด 1,504 ราย
- 11 เดือนแรก ต่างชาติลงทุนในไทยแล้ว 973 ราย
สำหรับการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (เฉพาะธุรกิจที่กำหนดให้ต้องขออนุญาต) พบว่า ในเดือนพ.ย.68 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 104 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 35 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 69 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 34,426 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากสิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น ตามลำดับ
สำหรับช่วง 11 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวนสะสม 973 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 263 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 710 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 311,162 ล้านบาท
โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 11 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 89 ราย (10%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 (884 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 97,198 ล้านบาท (45%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 (213,964 ล้านบาท)

ทั้งนี้ ประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1) ญี่ปุ่น 169 ราย คิดเป็น 17% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 82,505 ล้านบาท
2) สิงคโปร์ 146 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 100,265 ล้านบาท
3) สหรัฐอเมริกา 137 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,038 ล้านบาท
4) จีน 133 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 33,119 ล้านบาท
5) ฮ่องกง 104 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 14,496 ล้านบาท
ขณะที่การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ช่วง 11 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีจำนวน 277 ราย คิดเป็น 28% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 4 ราย จากช่วงเดียวกันของปี 2567 (281 ราย) คิดเป็น 1%
มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 101,666 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 72 ราย เงินลงทุน 18,667 ล้านบาท ญี่ปุ่น 60 ราย เงินลงทุน 32,349 ล้านบาท สิงคโปร์ 40 ราย เงินลงทุน 22,705 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 105 ราย เงินลงทุน 27,945 ล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ธ.ค. 68)





