บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะลงทุนยาวจับจังหวะนี้ดีสุดรอบ 10 ปีทั้งตราสารหนี้-หุ้น

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนขณะนี้นับว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี สำหรับการลงทุนระยะยาว และมีโอกาสได้ผลตอบแทนในระดับสูง

โดยแรงกดดันจากเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายฉุกเฉินลง ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีมาตรการสนับสนุนเสถียรภาพตลาดการเงินไทยเพิ่มเติม 3 ด้าน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อตลาดตราสารหนี้ได้

ส่วนตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 1/63 ได้ปรับตัวลดลง 453.98 จุดหรือ 28.74% โดยปรับตัวลดลงจาก 1,559.84 จุด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็น 1,125.86 จุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 สาเหตุจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลงแรงจากการประกาศสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ทุกประเภท ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกทั้งในแง่การหยุดชะงักของภาคการผลิต ภาคการบริการ การท่องเที่ยวและการบริโภค

อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นวันที่ 21 เมษายน 2563 ดัชนีได้ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,253 จุด ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในวันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่ประเทศไทยประกาศปิดพื้นที่เสี่ยง หรือล็อกดาวน์ โดยสาเหตุหลักจากการฟื้นตัว อาทิ มาตรการผ่อนคลายของนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางทั่วโลก นโยบายการคลังที่ทยอยออกมาเพื่อเยียวยาภาคการจ้างงานซึ่งได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ จำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศและยุโรปลดลง

รวมถึงองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (โอเปก) รัสเซีย และสหรัฐฯ กลับมาเจรจาเพื่อลดกำลังการผลิตเพื่อรับมือกับอุปสงค์ที่ลดลงจากโควิด-19 ซึ่งคาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศสามารถเดินหน้าต่อได้บ้างส่วน และจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในช่วงไตรมาสที่ 4

“ตลาดหุ้นจีนนั้น ถึงแม้ว่าตัวเลขการส่งออกในเดือน มี.ค. ลดลงจากเดิมที่ระดับ -17.2%YoY มาอยู่ที่ -6.6%YoY แต่ในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีนเริ่มคลี่คลายทำให้รัฐบาลกลับมาประกาศเปิดเมืองอีกครั้ง ประกอบกับธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยโครงการเงินกู้ระยะกลาง 1 ปี ลง 0..20% มาอยู่ที่ระดับ 2.95% และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านโครงการดังกล่าวเพิ่มเติมอีก 100,000 ล้านหยวน ซึ่งเหล่านี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนจะค่อย ๆ ฟื้นตัว ถึงแม้ว่าอาจจะถูกกดดันจากอุปสงค์โลกที่อ่อนแอหลังจากการระบาดของโควิด-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรปซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของจีน”

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดทองคำนั้น การลงทุนในทองคำจะช่วงกระจายความเสี่ยงในพอร์ตได้ โดยในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนอกรอบการประชุมเป็นครั้งที่ 2 สู่ที่ระดับที่ 0.00-0.25% และประกาศทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารการเงินที่ผู้ซื้อลงทุนในสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Backed Securities) อย่างไม่จำกัด

ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการปล่อยกู้วงเงิน 2.3 ล้านล้านดอร์ลาร์ จึงส่งผลให้ราคาในปัจจุบันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำโดยตรงควรระมัดระวังเนื่องจากมีนักลงทุนมีการเข้าไปเก็งกำไรสูง

ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะนำลงทุนใน 5 กองทุนชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-class ที่ฟรีค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-End Fee) และค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ด้วยมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำ 1 บาท – สูงสุด 1 ล้านบาท สามารถซื้อได้ผ่านช่องทางแอพพลิเคชัน SCB Easy Net และ SCBAM Fund Click ซึ่งถือว่าเป็นแอพพลิเคชันที่ง่ายและสะดวก สามารถเลือกลงทุนในกองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.ไทยพาณิชย์ ได้ทุกที่ทุกเวลา

โดยสามารถเลือกตัดบัญชีเพื่อซื้อกองทุนได้จากหลากหลายธนาคารชั้นนำ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการออมระยะยาวยังสามารถทำรายการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (Dollar Cost Average หรือ DCA) ผ่านช่องทาง SCBAM Fund Click ได้อีกด้วย

สำหรับ 5 กองทุนที่แนะนำลงทุนในสภาวะปัจจุบัน ประกอบด้วย กองทุนตลาดเงิน 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารรัฐตลาดเงิน พลัส (SCBTMFPLUSE) เน้นลงทุนในตราสารภาครัฐ จึงมีความเสี่ยงต่ำและมีสภาพคล่องสูง เหมาะเป็นที่พักเงินในช่วงตลาดผันผวน, กองทุนหุ้นไทย 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Index (SCBSETE) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET50 Index (SCBSET50E) เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นทุนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET และดัชนี SET50 (ตามลำดับ) เพื่อให้กองทุนมีผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนของดัชนี SET และดัชนี SET50 มากที่สุด

กองทุนหุ้นต่างประเทศ 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ (SCBCHAE) เน้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับ CSI 300 Index (A-Share Index) โดยปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และกองทุนทองคำ 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ (SCBGOLDE) ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟทองคำต่างประเทศ คือ SPDR Gold Trust ซึ่งกองทุนดังกล่าวจัดตั้งและจัดการโดย World Gold Trust Services, LLC ที่ถือหุ้นโดย World Gold Council (WGC) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสวิสเซอร์แลนด์

สำหรับกองทุนประเภท e-class มีทั้งสิ้น 15 กองทุน ประกอบด้วยกองทุนตลาดเงิน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารรัฐตลาดเงิน พลัส (SCBTMFPLUSE) กองทุนหุ้นไทย ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Index (SCBSETE), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET50 Index (SCBSET50E), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Banking Sector Index (SCBBANKINGE) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Energy Sector Index (SCBENERGYE)

กองทุนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นเกาหลี (SCBKEQTGE), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน (SCBCEE), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮ็ดจ์ (SCBCEHE), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ (SCBCHAE), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นอินเดีย (SCBINDIAE), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นญี่ปุ่น (SCBNKY225E), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรป (SCBEUEQE), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (SCBS&P500E) และสินทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ (SCBGOLDHE) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ (SCBGOLDE)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 เม.ย. 63)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top