เชียร์”ซื้อ”CPALL มอง H2/63 ยอดขายเริ่มฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์

โบรกเกอร์ ต่างแนะนำ”ซื้อ” บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เนื่องจากคาดการณ์ผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 63 ค่อย ๆ ฟื้นตัว หลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะที่ประเมินผลประกอบการไตรมาส 2/63 จะอ่อนตัวและทำระดับต่ำสุดของปี เพราะรับผลกระทบโควิด-19 มาตรการเคอร์ฟิว ทำให้ยอดขายในช่วงกลางคืน และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หายไป

เซเว่น 7-11

CPALL ยังเป็น Top pick ของกลุ่ม แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลให้แรงซื้อชะลอตัว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ CPALL ยังน้อยกว่ากลุ่มค้าปลีกรายอื่น เพราะโดยรวมทั้งจากร้านค้าสะดวกซื้อและสินค้าเพื่อการยังชีพยังคงสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ โบรกเกอร์ประมาณการกำไรสุทธิในปี 63 ของ CPALL ไว้ที่ 2.26-2.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 2.5-4.0% แต่บางรายคาดว่ากำไรทรงตัวจากปีก่อนที่ 2.24 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ การได้รับไลเซ่นส์เข้าไปขยายร้าน 7-11 ในประเทศกัมพูชา มองว่าเป็นโอกาสขยายฐานลูกค้าเพิ่ม รวมถึงฐานลูกค้าจาก Tesco Lotus ที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มซีพีซื้อกิจการในไทยและมาเลเซียจะหนุนการเติบโตในระยยาวด้วย

ช่วงบ่ายราคาหุ้น CPALL อยู่ที่ 69.75 บาท ลดลง 0.50 บาท (-0.71%) ขณะที่ SET -0.02%

โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
ทิสโก้ ซื้อ 86.00
เอเชีย เวลท์ ซื้อ 85.00
เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 85.00
ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 85.00
ไทยพาณิชย์ ซื้อ 82.00
หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 81.00
ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 79.00

นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ”ซื้อ” หุ้น CPALL คงราคาเป้าหมาย 81 บาท เนื่องจากมองว่าธุรกิจน่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังปีนี้ แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/63 น่าจะอ่อนตัว เพราะตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่มีประกาศเคอร์ฟิวทำให้ยอดขายช่วงกลางคืนลดลง รวมถึงลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวก็หายไปด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสเข้าสู่ภาวะปกติ หรือยกเลิกเคอร์ฟิว หลังจากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศลดลง จากที่รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ในเดือนเม.ย.และต่อเนื่องมาเดือน พ.ค. อย่างไรก็ดี CPALL ยังรับผลกระทบน้อยกว่ารายอื่นที่ไม่สามารถเปิดขายได้เลย

“CPALL ยังเป็น Top pick ของกลุ่ม แม้ว่าโควิด-19 จะส่งผลให้แรงซื้อชะลอตัว อย่างไรก็ดีผลกระทบที่เกิดขึ้นของ CPALL ยังน้อยกว่ากลุ่มค้าปลีก เนื่องจากสินค้าหลักโดยรวมทั้งจากร้านค้าสะดวกซื้อและสินค้าเพื่อการยังชีพ ยังคงสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง รวมถึงกำลังซื้อจากมาตรการเยียวยาของภาครัฐมีส่วนช่วยรองรับผลกระทบดังกล่าว ขณะที่เราคาดว่าหลังการปลดล็อกดาวน์ รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะทำให้แรงซื้อเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงครึ่งหลังปี 63”

นางสาววิชชุดา กล่าว

นอกจากนี้ CPALL ได้รับไลเซ่นส์เข้าไปขยายร้าน 7-11 ในประเทศกัมพูชา มองว่าเป็นโอกาสขยายฐานลูกค้าเพิ่ม รวมถึงฐานลูกค้าจาก Tesco Lotus ที่บริษัทเข้าลงทุนโดยจะมีความชัดเจนในช่วงปลายปี 63 และยังได้รับผลดีจาก บมจ.แม็คโคร (MAKRO) จากที่มียอดขายดีสินค้าอาหาร ของสด ในช่วงล็อกดาวน์ โดย CPALL รับรู้กำไร 30% ของ MAKRO

ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรสุทธิปี 63 ของ CPALL ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำ”ซื้อ”หุ้น CPALL เพราะมองว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 63 จะค่อย ๆ ฟื้นตัว และอาจจะเห็นดีขึ้นอย่างชัดเจนในปลายไตรมาส 4/63 จากในไตรมาส 2/63 ที่น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว จากที่รับผลกระทบโควิด-19 แต่จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเดือน พ.ค.โดยประมาณกำไรสุทธิในปี 63 อยู่ที่ 2.26 หมื่นล้านบาท เติบโต 2.5%

ขณะที่ CPALL เข้าทำสัญญาสำหรับดำเนินกิจการร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงที่นำไปสู่การเติบโตในอนาคตในระยะยาว ซึ่งมีระยะเวลาสัญญา 30 ปี และต่อสัญญาได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 ปี ทั้งนี้ CPALL เล็งเห็นถึงศักยภาพธุรกิจค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อในกัมพูชา ซึ่งมีคู่แข่งไม่มาก โครงสร้างประชากร และโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คาดว่าจะสามารถเปิดสาขาได้ในปี 64 ขณะที่ดีลเทสโก้ เอเชียรอการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงช่วงครึ่งหลังปี 63

ด้านนางสาวศิริมา ดิสสรา นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์ คาดว่าผลประกอบการของ CPALL ในไตรมาส 2/63 น่าจะอ่อนตัว และเป็นจุดต่ำที่สุดของปีนี้ จากยอดขายลดลงที่รับผลกระทบจากมาตรการเคอร์ฟิวช่วงกลางคืน (ยอดขายช่วงเคอร์ฟิวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของยอดขายรวม) การห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (คิดเป็นสัดส่วนตัวเลขหลักเดียวระดับสูงของยอดขาย) และการยกเลิกวันหยุดสงกรานต์

แต่คาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 63 ผลประกอบการน่าจะดีขึ้น รวมทั้งการได้รับสิทธิกิจการร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในกัมพูชาที่มีโอกาสเติบโตจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตระยะยาว

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CPALL แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 85 บาท จากเดิม 91 บาท จากการปรับกำไรปี 63 ลง 4% มาอยู่ที่ 2.24 หมื่นล้านบาท หรือทรงตัวจากปีที่แล้ว จากการปรับลดอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ลงจาก 2.5% เหลือ 0.2% จากผลของโควิด-19 อย่างไรก็ดี คาดว่า ผลประกอบการมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นในครึ่งหลังปี 63 จากแนวโน้มการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ และมาตรการตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

CPALL รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1/63 ที่ 5.6 พันล้านบาท -2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ -9% จากไตรมาสก่อน ใกล้กับที่ตลาดคาด เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 จำกัด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 พ.ค. 63)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top