แรบบิท คาดยอดผู้ถือบัตรเพิ่มขึ้นตามเส้นทางรถไฟฟ้า-รถเมล์ จ่อขยายตจว.

นางสาวรัชนี แสงศิลป์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก สมาร์การ์ด ซิสเทม จำกัด (Rabbit Card) กล่าวว่า ได้ดำเนินการมา 8 ปี มีผู้ใช้บัตร 14 ล้านใบ เริ่มต้นเป็นระบบเติมเงินซึ่งใช้กับรถไฟฟ้าบีทีเอส และ รถบีอาร์ที แต่ในช่วง 2 ปีหลัง Rabbit Card ได้ขยายขนส่งสาธารณะอื่น ได้แก่ รถเมล์ ได้เปลี่ยนเป็นระบบ ประมาณ 200 คัน

คาดปลายปีนี้จะมีจำนวนรถเมล์ ขสมก.ที่สามารถรับบัตร Rabbit Card ได้ 1,000 คัน ในอนาคตอันใกล้ จะรองรับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (ช่วงหมอชิต-คูคต) สายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี) สายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีทอง (ช่วงกรุงธนบุรี-คลองสาน)

นอกจากนี้ ยังมีการใช้การเดินทางทางเรือ ได้แก่ คลองภาษีเจริญ เข้ามาสะพานตากสิน เรือด่วนเจ้าพระยา เรือทัวริสต์เจ้าพระยา และจะมีเรือข้ามฟาก ขณะที่สามารถใช้กับบางร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารของกลุ่มไมเนอร์ , ห้างเดอะมอลล์ หรือร้านชา-กาแฟ เพื่อให้ผู้ถือบัตร Rabbit Card ถือบัตรเดียวใช้ได้สะดวก รวมทั้ง โรงงานบางแห่งก็ใช้ในศูนย์อาหาร

นางสาวรัชนี กล่าวว่า ขณะนี้มีบางแบรนด์ใช้ได้ทั่วประเทศ รวมทั้ง ขนส่งสาธารณะที่ภูเก็ต และหาดใหญ่ และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่จะไม่ต้องการให้มีการใช้บัตร Rabbit Card กระจุกตัวแต่ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ บริษัทได้ขยายแบรนด์ที่บริษัทเลือกขยายพร้อมกับพาร์ทเนอร์ยังหลายจังหวัดหรือพื้นที่อื่นที่ได้รับการบริการเหมือนในกรุงเทพฯโดย Rabbit Card เป็นผู้สนับสนุน

ทั้งนี้ จำนวนบัตร 14 ล้านใบ ประมาณ 4 ล้านใบอยู่ต่างจังหวัด กระจายผ่านธ.กรุงเทพ (หนึ่งในผู้ถือหุ้น) ที่เป็นบัตรเดบิตแรบบิท เมื่อมีการขยายสาขาก็ไปตามผู้บริโภคในจังหวัดต่าง ๆ และยังสามารถใช้กับรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯได้

นางสาวรัชนี กล่าวว่า ในช่วงเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด ต้องมีสายป่านในการดำเนินธุรกิจ บริษัทมีบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เป็นบริษัทแม่ ที่สามารถเข้าช่วยเหลือได้ บริษัทได้วางแผนและคาดการณ์กรณีสถานการณ์แย่สุด คนไม่ค่อยเดินทาง ก็จะทำให้ไม่มีรายรับเข้ามา

สิ่งที่ทำได้คือการควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วน และอะไรสำคัญที่สุด ถ้าเตรียมพร้อมตลอดก็จะไม่เจ็บหนัก ที่สำคัญจะไม่ลดเงินเดือน และไม่มีการเลิกจ้างเพราะถือเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญของบริษัท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top