STARK เผย ‘วนรัชต์’ ขายหุ้นเพิ่ม Free Float แย้มมีโบรกฯต่างชาติสนใจอีก

บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) แจ้งว่าเมื่อวานนี้ (28 พ.ค.) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้ดำเนินการกระจายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ในบริษัท ให้แก่นักลงทุนสถาบันเป็นหลัก รวมจำนวน 402.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.69% ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float)

ภายหลังการขายหุ้นครั้งนี้ส่งผลให้นายวนรัชต์ คงเหลือสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทจำนวน 67.60% จากเดิม 69.29% และ Stark Investment Corporation Limited ยังคงถือหุ้นสัดส่วน 21% ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายย่อย มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 11.40% จากเดิม 9.71%

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าว เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย จึงไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารงาน ตลอดจนนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด

นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ ของ STARK เปิดเผยว่า การที่นายวนรัชต์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ทำรายการซื้อขายรายใหญ่ (BIG LOT ) หรือบิ๊กล็อต ให้แก่นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุน High Net Worth จำนวน 402.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 1.69% ของหุ้นชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.85 บาท ซึ่งราคาดังกล่าว เป็นราคาที่อ้างอิงกับราคาขายแก่นักลงทุนสถาบัน ซึ่งโดยมากจะต้องมีส่วนลด (Discount) บางส่วน เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายที่มาก

การทำบิ๊กล็อตครั้งนี้ ส่งผลให้สามารถเพิ่มสภาพคล่องหรือการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อย (Free Float) เพิ่มเป็น 11.40% ซึ่งตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ต้องมีฟรีโฟลต 15% ซึ่งขณะนี้มีโบรกเกอร์ต่างชาติ 2-3 ราย ให้ความสนใจติดต่อขอลงทุนหุ้น STARK

อย่างไรก็ตามภายหลังการทำบิ๊กล็อต นายวนรัชต์ และกลุ่ม Stark Investment Corporation Limited ยังถือหุ้นรวมกัน 88.6% โดยมั่นใจว่าการทำบิ๊กล็อต จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น STARK บนกระดาน

“การทำบิ๊กล็อตครั้งนี้ เป็นการขายเพื่อสนองตอบความต้องการของนักลงทุนบางส่วนเท่านั้น เป็นการเชื้อเชิญนักลงทุนกลุ่ม High Net Worth และสถาบัน เข้าซื้อเพิ่มเติมในตลาดหลักทรัพย์ เชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาตลาดนัก และยังทำให้ฟรีโฟลตของหุ้น STARK จากเดิมไม่ถึง 10% เพิ่มขึ้นเป็น 11.40% โดยคุณวนรัชต์ และกลุ่ม สตาร์ค อินเวสเมนท์ ยังถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 88.6% ซึ่งการเพิ่มฟรีโฟลต ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ SET50 และ SET100 รวมทั้งการเข้าคำนวณดัชนี MSCI ด้วย”

นายชนินทร์ กล่าว

นายชนินทร์ กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทปี 63 นี้ จะเติบโตที่สูงมากเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากในไตรมาส 2/63 จะเริ่มรับรู้ผลประกอบการบริษัทสายไฟในเวียดนาม และบริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล (TCI) รวมถึงงานในมือของบริษัทย่อย อดิสร มูลค่า 4,300 ล้านบาท

นอกจากนั้น STARK ยังพร้อมขยายการเติบโตจากธุรกิจหลักสายไฟ , ธุรกิจการลงทุน และการเติบโตจากการซื้อกิจการเพิ่มเติมในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะโรงงานผลิตสายไฟในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นช่วงที่ดีในการเข้าซื้อกิจการเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และ ช่องทางการจำหน่ายที่มากขึ้น เนื่องจากมีคู่แข่งในการซื้อไม่มาก รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีต้นทุนการเข้าซื้อที่ต่ำ และความสามารถทำกำไรมาก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 พ.ค. 63)

Tags: , , , , , , , , , ,
Back to Top