ดาวโจนส์ปิดลบ 62.76 จุด วิตกยอดโควิดพุ่งกระทบธุรกิจ

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางธุรกิจที่เกิดจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ในสหรัฐ และตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,671.95 จุด ลดลง 62.76 จุด หรือ -0.23% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,224.73 จุด เพิ่มขึ้น 9.16 จุด หรือ +0.28% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,503.19 จุด เพิ่มขึ้น 29.36 จุด หรือ +0.28%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 2.3% และ 1.2% ตามลำดับ เนื่องจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนต้านโรคโควิด-19 และความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนหลายรายมองข้ามจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะนี้สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยล่าสุด Worldometer รายงานว่า มีผู้ติดเชื้อจำนวน 3,757,725 ราย และมีผู้เสียชีวิต 141,881 ราย

แต่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 1.1% ในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นสูง อาทิ ไมโครซอฟท์ คอร์ป และอเมซอน.คอม และได้ย้ายไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ

ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ราคาหุ้นของบริษัทเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 6.52% หลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 2/2563 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แม้ว่ารายได้และจำนวนผู้ใช้บริการสูงเกินคาดก็ตาม

ทั้งนี้ เน็ตฟลิกซ์เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 1.59 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.81 ดอลลาร์/หุ้น อย่างไรก็ดี บริษัทมีรายได้ 6.15 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.08 พันล้านดอลลาร์ ส่วนจำนวนผู้ใช้บริการทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10.09 ล้านราย สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 8.26 ล้านราย

การทรุดตัวลงของหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงตามกัน

นอกจากนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 1.52% ซึ่งส่งผลถ่วงดัชนีดาวโจนส์ลงสู่แดนลบด้วย แต่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค, อสังหาริมทรัพย์ และเฮลธ์แคร์ในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุด

หุ้นแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 3.66% หลังเปิดเผยว่าบริษัทมีกำไร และรายได้สูงเกินคาดในไตรมาส 2/2563

แบล็คร็อคเปิดเผยว่า ผลกำไรพุ่งขึ้น 21% ในไตรมาส 2 โดยอยู่ที่ระดับ 7.85 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 6.90 ดอลลาร์/หุ้น และบริษัทมีรายได้ที่ระดับ 3.65 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.58 พันล้านดอลลาร์

บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจในสัปดาห์หน้าไปที่การเปิดเผยรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2563 จากบริษัทชั้นนำของสหรัฐ อาทิ ไมโครซอฟท์, เทสลา, อินเทล และเวริซอน คอมมิวนิเคชันส์

นักวิเคราะห์ระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ได้ช่วยหนุนดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดว่า รัฐบาลจะออกมาตรการสนับสนุนด้านการคลังมากขึ้น เนื่องจากโครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้

สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐจะกลับไปยังกรุงวอชิงตันในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เพื่อทำการอภิปรายเกี่ยวกับร่างกฎหมายช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อีกฉบับ

สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนนี้ มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 73.2 ในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า ดัชนีจะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 79.0 จากระดับ 78.1 ในเดือนมิ.ย. โดยดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบสองของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

ส่วนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้น 17.3% ในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 1.186 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2559 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.169 ล้านยูนิต จากระดับ 1.011 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ค. 63)

Tags: , ,
Back to Top