YGG ไขปริศนาติดโผหุ้น”ร้อน”ฝ่าโควิด โมเดลธุรกิจบาดตา”กองทุน”ชูเป้า 3 ปีรายได้ 400-500 ลบ.

หุ้น บมจ.อิ๊กดราซิล กรุ๊ป (YGG) กลายเป็นหุ้นน้องใหม่ไฟแรงไปแล้วหลังจากเพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) ไม่นานเมื่อ 7 ม.ค.63 ด้วยราคา IPO 5 บาท และตลอดช่วง 1 เดือนกว่าเท่านั้นหุ้น YGG ปรับตัวขึ้นโดดเด่นจนเข้าเกณฑ์ต้องซื้อขายด้วยบัญชีเงินสด (Cash Balance) ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.-14 ส.ค.63 แม้ว่าหุ้น “YGG” จะพบแรงซื้อเข้ามาหนาแน่น แต่เมื่อเจาะลึกไส้ในโครงสร้างแต่ละธุรกิจพบว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากเป็นผู้เล่นระดับโลกในวงการคอมพิวเตอร์กราฟฟิกในงานโฆษณา ภาพยนตร์ และเกม

ฝ่าวิกฤติโควิดสบาย เข้าตากองทุนไทย-เทศ

นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อิ๊กดราซิล กรุ๊ป (YGG) เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า เหตุผลหลักๆของราคาหุ้น YGG ปรับตัวขึ้นโดดเด่น น่าจะมาจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในบริษัท และคาดหวังอัตราการเติบโตมั่นคงในระยะยาว เพราะช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 ยังมีลูกค้าติดต่อเข้ามาให้บริษัทผลิตงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นประเภทรับจ้างผลิตงาน Visual Effects ซึ่งลูกค้านำไปใช้สำหรับการประชุมทางไกลผ่านโปรแกรมต่างๆ

ขณะเดียวกัน แม้ว่ารัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์ประเทศเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 แต่บริษัทได้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กรเพื่อให้พนักงาน หรือทีมงานที่อยู่ต่างประเทศสามารถผลิตผลงานให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง ทำให้แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/63 ยังเติบโตได้ตามเป้าหมาย และไม่ได้รับผลกระทบเหมือนกับหลายๆ อุตสาหกรรม

“ต้องยอมรับว่าธุรกิจบริษัทอยู่ในแนวโน้มเติบโตระยะยาว ช่วงโควิด-19 ผลประกอบการบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาเกม คาดว่านักลงทุนคงเชื่อมั่นและคาดหวังเห็นอัพไซด์ในอนาคต และที่ผ่านมาพบว่ามีนักลงทุนสถาบันหลายรายทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาติดต่อขอข้อมูลบริษัทเพื่อนำไปพิจารณาเข้าลงทุน แต่จะลงทุนหรือไม่นั้นคงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกลุ่มกองทุนนั้นๆ”

พร้อมกันนั้น นายธนัช ยังยืนยันว่า ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ไม่ได้มีแนวคิดจะขายหุ้นแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นมากแล้วก็ตาม

ปีนี้โตแน่อย่างน้อย 15-20% ตุน Backlog กว่า 100 ล้านบาท

นายธนัช กล่าวว่า ด้วยความที่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด ทำให้มั่นใจในแนวโน้มเติบโตผลประกอบการปีนี้ว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ตามเป้าหมาย คือ อย่างน้อย 15-20% ส่วนหนึ่งมาจากทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ขณะนี้มีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานประเภท Animation โดยมีระยะเวลาสัญญาตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึง 1 ปี ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท ขณะที่งานประเภท Visual Effects และงานประเภทเกม เป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดระยะสั้นๆ

สะท้อนว่าทั้ง 3 ธุรกิจช่วยเสริมความสมดุลและความมั่นคงด้านการเติบโตของรายได้และกระแสเงินสดที่ใช้หมุนเวียนเป็นอย่างดี ขณะที่อัตรากำไรสุทธิของแต่ละธุรกิจก็มีความใกล้เคียงกันที่ระดับ 20-30% และในอนาคตมีโอกาสที่ความสามารถทำกำไรจะเพิ่มขึ้นตามทิศทางการเพิ่มมูลค่าในแต่ละงาน เพราะต้นทุนหลัก คือ พนักงาน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมที่เปรียบเทียบกับบริษัทในต่างประเทศถึง 3 เท่า

และด้วยโครงสร้างธุรกิจของบริษัทที่ให้บริการครบทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ Visual Effects , Animation ,และเกม ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีบริษัทที่ประกอบธุรกิจแบบครบวงจรเช่นนี้ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจแบบครบวงจรก็มีแค่ไม่กี่รายเช่นกัน

“ด้วยประสบการณ์ 15 ปี ถ้าหากบริษัทมีชื่อเสียงไม่ดี กลุ่มลูกค้าเองจะเป็นผู้บอกต่อกันไป ซึ่งที่ผ่านมามีกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นยังแปลกใจว่าไทยมีบริษัทที่ประกอบธุรกิจนี้ด้วย เพราะญี่ปุ่นเองก็มีเพียงไม่กี่รายที่ประกอบธุรกิจแบบนี้ เป็นที่มาของกลุ่มลูกค้าใหม่หลายรายที่เข้ามาเจรจาเพื่อติดต่องานเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันงานใหม่ที่ลูกค้านำมาให้บริษัทผลิตบางอย่างก็ช่วยเสริมความรู้และเทคนิคใหม่ๆนับเป็นผลประโยชน์ที่บริษัทได้รับช่วยยกระดับขีดความสามารถการผลิตงานด้านต่างๆได้อย่างต่อเนื่อง”

เปิดตัวเกม “Home Sweet Home Survival” เวอร์ชัน PC & Mobile ตีตลาดเกมโลกครึ่งปีหลัง

นายธนัช เปิดเผยว่า แผนงานในช่วงครึ่งปีหลังกลุ่มธุรกิจงานผลิตและรับจ้างผลิตเกม (Game & Production) เตรียมเปิดตัวเกม “Home Sweet Home Survival” ซึ่งเป็นเกมผีสยองขวัญที่สามารถร่วมเล่นได้หลายคน ในเวอร์ชั่น “Mobile” และเวอร์ชั่น “PC” ราวไตรมาส 3/63 หรือไตรมาส 4/63 หลังจากที่ผ่านมา Home Sweet Home 1 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากคอเกมทั่วโลกมาแล้ว เป็นส่วนผลักดันผลประกอบการเติบโตตามอุปสงค์ตลาดเกมที่เติบโตสูง มูลค่าตลาดมากกว่าแสนล้านบาท และยังช่วยกระจายฐานลูกค้าในตลาดโลกเป็นวงกว้างมากขึ้น

ตั้งเป้ารายได้ 400-500 ล้านบาทใน 3 ปีข้างหน้า

นายธนัช กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 66 จะต้องมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นไปแตะ 400-500 ล้านบาท หรือเติบโตเป็นเท่าตัวจากรายได้รวมในปี 62 ที่อยู่ในระดับ 196.6 ล้านบาท โดยในแต่ละปีวางเป้าเติบโตอย่างน้อยเฉลี่ย 15-20% ต่อปี เพราะเมื่อนำงานของ YGG ขึ้นไปเทียบชั้นกับงานระดับโลกแล้ว ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าจะสามารถเข้าไปแย่งชิงเค้กจากตลาดโลกมาได้อีกมาก แม้ว่าปัจจุบัน YGG จะเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้เล่นของตลาดโลกได้แล้ว แต่ก็ยังเป็นผู้เล่นรายเล็กที่อยู่ในตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล เปิดช่องว่างของโอกาสให้บริษัทเติบโตได้อีกมากในอนาคต

“สิ่งที่ลูกค้ามีผลงานระดับโลกเลือก YGG คือได้รับความไว้วางใจด้านคุณภาพของงาน แม้ว่าลูกค้าขอมาร้อย แต่เราให้ไปเกินร้อยเลยตามความสามารถของเรา บริษัทมีนโยบายปลูกฝังว่าแต่ละงานที่ออกไปนั้นคือลายมือของแต่ละผู้ผลิต แปลว่าเป็นผลงานของผู้ผลิตคนนั้นด้วย กลายเป็นคุณภาพงานของบริษัทที่ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจกลายเป็นการบอกต่อกัน ส่งผลให้วันนี้ฐานลูกค้าของ YGG กระจายไปเป็นวงกว้างและเป็นที่รู้จักในตลาดโลก”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ค. 63)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top