RATCH เผยบ.ย่อยเข้าซื้อโครงข่ายสายใยแก้วนำแสง จาก ALT มูลค่า 530.87 ลบ.

บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) แจ้งว่าเมื่อวานนี้ (3 ส.ค.) บริษัท สมาร์ทอินฟราเนท จำกัด (SIC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นร่วมกับบมจ.เอแอลที เทเลคอม (ALT) ในสัดส่วน 51% และ 49% ตามลำดับนั้น ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 549 ล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่ 54.9 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นสัดส่วนของบริษัทราว 28 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นเงิน 279.99 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนแล้วเสร็จจะทำให้ SIC มีทุนจดทะเบียนรวม 550 ล้านบาท

สำหรับวัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปซื้อโครงข่ายสายใยแก้วนำแสง จำนวน 2 โครงการ จาก ALT ได้แก่ โครงข่ายใยแก้วนำแสงตามแนวทางรถไฟและทางหลวง และโครงการท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินผ่านท่อใต้ดิน ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) บนถนน 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ถนนสุขุมวิท ถนนพหลโยธิน-ประดิพัทธ์ และถนนพญาไท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 530.87 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับเงินส่วนที่เหลือจากการซื้อทรัพย์สินดังกล่าวจะใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของ SIC ต่อไป

ล่าสุด SIC ได้บรรลุเงื่อนไขข้อตกลงในสัญญาโอนทรัพย์สิน รวมถึงสามารถดำเนินการตามภาระหน้าที่และเงื่อนไขบังคับก่อนของคู่สัญญาแล้วเสร็จสมบูรณ์ รวมทั้งได้ชำระราคาและรับโอนทรัพย์สินแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ SIC จัดตั้งขึ้นเพื่อการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องภายในประเทศ โดยการรับโอนโครงการดังกล่าว จะส่งผลดีต่อการดำเนินกิจการของ SIC ในการขยายฐานลูกค้าโครงการ จากเดิมที่อ้างอิงจำกัดอยู่กับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ไปสู่กิจการไฟฟ้า รวมถึงสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงินให้มีความพร้อมต่อการขยายธุรกิจในอนาคตต่อไป

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ RATCH เปิดเผยว่า หนึ่งในเป้าหมายหลักตามแผนธุรกิจของบริษัทฯ มุ่งมั่นเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในปี 66 ให้ถึง 20% ของการลงทุนรวม ปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมของประเทศ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้า ทางหลวงระหว่างเมือง น้ำประปา อินเตอร์เน็ตออฟติงส์ และโครงข่ายสายใยแก้วนำแสง

สำหรับบริษัท สมาร์ท อินฟราเนท จำกัด (SIC) ซึ่ง RATCH ถือหุ้น 51% นั้น จะเป็นแกนหลักในการสร้างฐานธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคม ผ่านการให้บริการโครงข่ายสายใยแก้วนำแสง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นสำหรับภาคธุรกิจในการปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีแบบฉับพลันและการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ รวมทั้งเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและประสิทธิภาพสูงสุดให้กับผู้บริโภค

ในส่วนของสินทรัพย์ที่ SIC รับโอนมาจาก ALT จะเป็นฐานสำคัญที่จะสร้างรายได้นับจากไตรมาส 4/63 เป็นต้นไป และขยายฐานลูกค้าไปยังผู้ประกอบกิจการไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในอนาคต นอกเหนือจากลูกค้าผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน

“ในมุมมองของบริษัทฯ โครงข่ายสายใยแก้วนำแสงจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจต่างๆ รวมถึงภาคไฟฟ้าและพลังงาน ที่กำลังพัฒนาไปสู่ยุคที่ผู้บริโภคสามารถเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าได้เอง หรือ Prosumer การพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีกำกับ ตรวจสอบและควบคุมระบบการผลิตไฟฟ้า การส่งไฟฟ้า และการจำหน่ายไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้า ส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลง เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟ

บริษัทมั่นใจอย่างยิ่งว่า SIC จะเป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจใช้บริการโครงข่ายสายใยแก้วนำแสง จากการที่มีคลื่นสัญญาณกว้างขวางครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวและขยายโอกาสทางธุรกิจในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มที่”นายกิจจา กล่าว

ด้านนางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ ALT และในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท อินฟราเนท จำกัด กล่าวว่า การจับมือกับ RATCH เป็นพันธมิตรจัดตั้ง SIC สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่ต้องการสร้างโอกาสทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคตเพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับ SIC จะดำเนินธุรกิจให้บริการเช่าโครงข่ายสายใยแก้วนำแสง โดยมีเป้าหมายขยายกลุ่มลูกค้าไปสู่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ซึ่ง RATCH เป็นผู้นำและเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ที่จะช่วยให้โอกาสและศักยภาพการแข่งขันของ SIC แข็งแกร่งขึ้น

“SIC เป็นการผนึกกำลังของ ALT และ RATCH ในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านสื่อสารโทรคมนาคมไม่เพียงรองรับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่จะขยายขอบเขตไปยังลูกค้าธุรกิจพลังงานไฟฟ้า เพราะการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตมีแนวโน้มจะใช้โครงข่ายสายใยแก้วนำแสงเป็นโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น

ตลอดจนการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะทั้งด้านการผลิตและการใช้กระแสไฟฟ้า และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่วิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคมเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีการสื่อสารมากขึ้น อุปกรณ์เครื่องใช้เน้นการเชื่อมต่อสื่อสารผ่านระบบไร้สาย หรือที่เรียกว่า อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things -IOT) พัฒนาการเหล่านี้เป็นธุรกิจแนวใหม่ที่ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกัน (Economy Sharing) ลดการลงทุนซ้ำซ้อนตามนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ และส่งผลให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนลดลงในภาพรวมอีกด้วย” นางปรีญาภรณ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top