รมว.สาธารณสุข เร่งผลักดันกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “กัญชงพืชเศรษฐกิจใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริมกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ

ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนนโยบายผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารยา (อย.) มีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ยกเว้นสารสกัดจากกัญชงและบางส่วนของพืชกัญชง โดยไม่ต้องถูกควบคุมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพื่อให้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้แก่ ยา สมุนไพร อาหาร และเครื่องสำอาง

นอกจากนี้มีการจัดทำกฎกระทรวง เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) เพื่อใช้ประโยชน์ ในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกนำรายได้เข้าสู่ประเทศ

สำหรับการประชุมครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขเน้นการสร้างความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการ ภาคเกษตรกรรมอุตสาหกรรม สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎระเบียบหลักเกณฑ์ฉบับใหม่ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ เพื่อส่งเสริมการปลูกและการแปรรูปกัญชงเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมกัญชงจากงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ โดยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร (ต้นน้ำ) ผู้ประกอบธุรกิจ (กลางน้ำและปลายน้ำ) ได้แลกเปลี่ยนแนวคิด มุมมองเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการตลาดให้เป็นที่ต้องการในตลาดโลก

นายอนุทิน กล่าวว่า ตนเองมอบนโยบายให้ทุกกรมส่งเสริมและสนับสนุนการนำกัญชาและกัญชงไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ที่ผ่านมาได้เปิดโอกาสให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาเพื่อการแพทย์เนื่องจากมีสาร THC เด่น ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและทำให้เสพติด จึงต้องมีการกำกับดูแลอย่างเข้มข้น มีระบบติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านยาเสพติด ส่วนกัญชงนั้นสนับสนุนให้ใช้ในทางอุตสาหกรรม เนื่องจากมีสาร THC ในปริมาณน้อย แทบไม่มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท มีสาร CBD เด่น มีประโยชน์ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรมสุขภาพ และเกือบทุกส่วนของกัญชงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งประเทศไทยมีภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการปลูกกัญชง ถือเป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะสร้างรายได้ และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top