เวิลด์แบงก์ คาดพิษโควิดทำ GDP ไทยปีนี้หดตัว -8.3% ก่อนฟื้นโต 4.9% ปี 64

ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 63 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทำให้หดตัว -8.3% อัตราเงินเฟ้อ -0.9% แต่หากเป็นกรณีที่แย่สุดคาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว -10.4% จากนั้นในปี 64 เศรษฐกิจไทยน่าจะกลับมาขยายตัวได้ถึง 4.9% อัตราเงินเฟ้อ 1% แต่หากเป็นกรณีที่แย่สุดคาดว่าเศรษฐกิจไทยก็จะยังขยายตัวได้ 3.5%

ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลก ทำให้หลายประเทศต่างมีความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาด ที่นำไปสู่การลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ผลลัพธ์ของแต่ละประเทศขึ้นจะอยู่กับการควบคุมการแพร่ระบาดของประเทศนั้นๆ ว่าสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด และประเทศได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด

เวิลด์แบงก์ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) จะเติบโตได้เพียง 0.9% ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ พ.ศ.2510 โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 63 พบว่าเศรษฐกิจประเทศจีนหดตัวลง 1.8% ส่วนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้เศรษฐกิจหดตัวลงเฉลี่ย 4%

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดนี้ได้ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกใน 3 ด้านต่อประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค EAP คือ ความกังวลจากปัญหาโรคระบาด, ความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และการตกต่ำของเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยาวนาน

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย ระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมากในช่วงไตรมาส 2 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 3 ปีนี้ ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้จากผลของมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงผลกระทบด้านการส่งออกจากมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศด้วยเช่นกัน ขณะที่มีความล่าช้าในเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 63

โดยธนาคารโลก ประเมินว่าภาวะดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ หดตัว -8.3% และจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในปีหน้าที่ระดับ 4% ซึ่งการจะให้เศรษฐกิจไทยกลับไปฟื้นตัวได้ดีในระดับช่วงก่อนเกิดโควิดนั้น คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี

“การฟื้นตัวต้องใช้เวลานาน คาดว่าจะมากกว่า 2 ปีกว่าจะกลับไปสู่ฐานเดิมก่อนเกิดโควิด เพราะไทยได้รับผลกระทบจากโควิดค่อนข้างรุนแรงในไตรมาส 2 และกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศช่วงไตรมาส 2 และ 3 โดยภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเป็นอย่างสูง” นายเกียรติพงศ์กล่าว

นอกจากนั้น ในปีนี้ประเทศไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นเข้ามาเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1.ความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น การชุมนุมประท้วงของกลุ่มนักศึกษา ปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ รวมถึงการปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล 2.ปัญหาภัยธรรมชาติ ทั้งกรณีของน้ำท่วม และภัยแล้ง 3.การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่อาจจะกลับมาอีกในระลอกสอง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสหดตัวได้มากถึง -10.4% ซึ่งเป็นกรณีที่เลวร้ายสุด ซึ่งกว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี

ด้านนางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย ยังกล่าวถึงกรณีที่ประเทศไทยประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดว่า การจะมองว่าเหมาะสมหรือไม่นั้นคงเป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลของแต่ละประเทศจะต้องพิจารณาว่าอะไรคือความสมดุลระหว่างมาตรการดูแลด้านสาธารณสุขให้ประชาชน กับการดูแลเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ และในระยะยาวประชาชนจะสามารถอยู่กับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้อีกนานแค่ไหน

“บางประเทศ อนุญาตให้มีการเดินทางได้แล้ว แต่ก็พบการติดเชื้อในประเทศค่อนข้างมาก ขณะที่ไทย การติดเชื้อในประเทศค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีการจำกัดการเดินทางเข้าออกประเทศ เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็คงต้องหาจุดที่สมดุล และต้องดูว่าในระยะยาว จะสามารถอยู่กับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อไปได้อีกแค่ไหน รัฐบาลอาจต้องผ่อนผันเพื่อดูแลเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันที่ทำให้มีการติดเชื้อในประเทศต่ำ อาจจะถูกต้องก็ได้ เรื่องนี้ต้องดูอนาคตด้วย แต่เราคงไม่เห็นการกลับมาได้ปกติ 100% เพราะมันเป็นไปไม่ได้”

ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทยกล่าว

สำหรับมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศนั้น มองว่า เม็ดเงินสำหรับใช้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมามีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่การเข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริงนั้น ควรจะทำได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการเข้าถึงภาคครัวเรือน ส่วนมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่ให้เงินแก่ประชาชน 3,000 บาทได้ใช้ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยนั้น มองว่าอาจจะยังไม่ตรงเป้าหมายเท่าที่ควร ซึ่งรัฐบาลควรต้องมีมาตรการอื่นๆ มาสนับสนุนเพิ่มเติมด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top