‘ก้องเกียรติ’ วัดอุณหภูมิตลาดหุ้นจีน-สหรัฐ ถอดสูตรลงทุนท่ามกลางวิกฤต

ไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดลุกลามไปหลายภูมิภาคทั่วโลก เป็นปัจจัยกดดัน GDP หลายประเทศให้ขยายตัวต่ำเมื่อเทียบกับในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนดิ่งเหวหาจุดต่ำสุดไม่ได้ สะท้อนจากแรงขายหนาแน่นกระจายไปในตลาดหุ้นทั่วโลก แม้ว่าวิกฤตการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด แต่นักลงทุนที่กำลังแสวงหาโอกาสลงทุน โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นจีน จะยังพอมีแนวทางสร้างผลตอบแทนได้มากน้อยอย่างไร ??

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) เปิดเผยว่า แม้ว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้มีความเสี่ยงชะลอตัวจากผลกระทบแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่ถ้าวิเคราะห์มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นจีนยังพบว่าเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่กำลังถูกที่สุดในโลก เนื่องจากตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ระดับทรงตัวเพราะได้รับแรงกดดันปัจจัยแวดล้อมมากมาย โดยส่วนตัวก็เลือกลงทุนในตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง เพราะเห็นถึงศักยภาพบริษัทจดทะเบียนจีนหลายแห่ง รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงมีโอกาสเติบโตระยะยาวจำนวนมาก

แม้ว่าปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาหุ้นก็ไม่ได้ถูกนัก อาทิ Tencent ,PING AN ,AIA ซึ่งเป็นชื่อบริษัทใหญ่ระดับโลกที่คุ้นเคย ก็ยังน่าสนใจลงทุน

เช่นเดียวกับหุ้นบริษัทที่ประกอบธุรกิจการศึกษาก็น่าสนใจเช่นกัน อาทิ หุ้น Town education เป็นบริษัทประกอบธุรกิจออนไลน์ หรือ ZhongAn บริษัทขายประกันออนไลน์เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความน่าสนใจ ขณะที่ธุรกิจยาและธุรกิจเครื่องดื่ม แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานระยะยาวมีโอกาสเติบโตได้ดี แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังเพราะปัจจุบันมีมูลค่า P/E สูง

ส่วนแนวทางลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบ สามารถเข้าเก็งกำไรสั้นๆ ราคาขึ้นและลงเป็นรอบ เช่น ธุรกิจคาสิโน เคลื่อนไหวตามข่าวลูกค้าเข้าใช้บริการ ถ้าคนไม่เข้าใช้บริการพบว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่พอช่วงที่คนเริ่มเข้าราคาหุ้นก็ปรับขึ้นทันที

นายก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่กล้าลงทุน คือ หุ้นบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจีน เพราะต้นทุนเงินกู้สูง บางบริษัทขายหุ้นกู้ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 10% อาจมีความเสี่ยงสูง เพราะไม่ทราบว่างบการเงินเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับธุรกิจธนาคารใหญ่ 4-5 แห่งในจีน ส่วนตัวก็ยังไม่กล้าลงทุนเช่นกัน แม้ว่าราคาหุ้นจะถูกก็ตาม P/E ต่ำมาก 7-8 เท่าและมี Dividend yield กว่า 5%

“แม้ว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้ มีคนทำนายว่ามีโอกาสเติบโตลดลงมาเหลือกว่า 3% ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมโตได้กว่า 6% แต่รัฐบาลประกาศชัดเจนว่าจะปั๊มเงิน อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ มีเงินใช้จ่าย ไม่ให้ธุรกิจไม่ยากลำบากจนเกินไป อัตราดอกเบี้ยต่ำ ธนาคารผ่อนคลายไม่เข้มงวดเกินไป ส่วนตลาดหุ้นจีนเองก็มีมาตรการ เช่นกรณีกองทุนจะขายหุ้นต้องขออนุญาต คราวนี้ใครจะไปกล้าขอ ก็นับเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลจีนใช้พยุงตลาดหุ้นจีนเช่นกัน”

นายก้องเกียรติ กล่าว

มาที่ด้านมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันยังน่าสนใจลงทุน มีมุมมองที่ดีหลายปีติดต่อกัน เพราะผลประกอบการบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งก็ปรับตัวดีกว่าคาด ซึ่งเชื่อว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/62 แต่ละบริษัททยอยประกาศออกมาก็ดีกว่าคาดเช่นกัน

นอกจากผลประกอบการบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯมีความแข็งแกร่ง และมีบริษัทที่เป็นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกหลายแห่งแล้ว ในฝั่งของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังมีกระสุนสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งมีกระแสเงินสดเหลือจำนวนมาก สะท้อนจากบริษัทหลายแห่งใช้นโยบายซื้อหุ้นคืน เป็นกลไกที่สำคัญช่วยประคองให้ราคาหุ้นไม่ปรับตัวลดลง

และสุดท้ายเงินออมของคนสหรัฐส่วนใหญ่เลือกลงทุนในกองทุนหุ้นที่มีขนาดใหญ่มาก ดังนั้น ผู้นำสหรัฐฯทุกยุคสมัยจำเป็นต้องดูแลตลาดหุ้นให้มีความมั่นคงไม่เช่นนั้นกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจแน่นอน

“ตลาดหุ้นสหรัฐฯเคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาดอย่างประสิทธิภาพสูงมาก สะท้อนจากบริษัทใดผลประกอบการแย่กว่าคาด จะโดนลงโทษหนักราคาหุ้นตกลงไปหนักทันที แต่ถ้าผลประกอบการดีเกินคาดก็จะปรับตัวขึ้นมาแรงเช่นกัน วันนี้ก็มีความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯยังน่าลงทุนและมีความแข็งแกร่งอยู่ในหลายมิติ”

นายก้องเกียรติ กล่าว

สำหรับคำแนะนำการเลือกลงทุนหุ้นต่างประเทศ นายก้องเกียรติ กล่าวว่า นักลงทุนไทยอย่าปิดกั้น มุมมองควรเลือกลงทุนในตลาดต่างประเทศด้วย ไม่ใช่ลงทุนเฉพาะแค่ในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น เพราะปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีของดีราคาถูกอีกจำนวนมาก สามารถสร้างผลตอบแทนเหมาะสม

แต่นักลงทุนก็ต้องบริหารจัดการความเสี่ยงของแต่ละบุคคลให้มีประสิทธิด้วย ยกตัวอย่างหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เพราะกำลังเข้าสู่ยุคดิสรัปชั่น ไปล้มกระดานของธุรกิจดั้งเดิม ในอนาคตก็จะทยอยกินส่วนแบ่งทางการตลาดไปเรื่อยๆ เช่น Amazon ,Facebook , Alibaba , Apple ,Louis Vuitton มีความหลากหลาย แม้ว่าจะลงทุนในไทย แต่จำเป็นอย่างมากต้องเกาะติดกับเทรนด์เหล่านี้ เพราะจะวิเคราะห์อนาคตได้เลยว่าธุรกิจในไทยจะไปรอดหรือไปไม่รอด

สำหรับนักลงทุนรายย่อยไม่แนะนำให้เข้าไปเลือกซื้อหุ้นด้วยตัวเอง เพราะมีความเสี่ยงสูง ไม่ได้กระจายการลงทุนหลายสินทรัพย์ สมมติกรณีใช้เงิน 100,000 บาท อาจซื้อได้แค่ 2-3 ตัว แต่ถ้าใช้เงิน 100,000 บาท นำไปใช้ซื้อกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศก็ลงทุนหุ้นหลายบริษัท เป็นสิ่งที่เหมาะสมสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี

พร้อมกับต้องถามตัวเองว่าในช่วงตลาดปรับตัวลดลง มีความพอใจมากน้อยอย่างไรที่จะเข้าไปลงทุน ต้องสำรวจอารมณ์ความกลัวของตัวเองว่าเต็มที่แล้วหรือไม่ ในกรณีคิดว่าความกลัวถึงที่สุดแล้ว ก็ต้องมาตัดสินใจอีกครั้งว่ามีความกล้าเพียงพอที่จะนำเงินไปลงทุนหรือไม่

“คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้า เพราะคนส่วนใหญ่รอให้มันฟื้นแล้วค่อยไปซื้อ แต่พอฟื้นแล้วมันก็จะกลับมาลงใหม่ ถ้าตีกราฟเป็นรูปตัว W ในกรณีถ้าเลือกลงทุนในกองทุนก็อาจจะไม่ต้องกลัว หรือตกใจ เพราะไม่ได้เห็นราคาหุ้นแต่ละตัว แต่ถ้าไปซื้อหุ้นแต่ละตัวก็จะตกใจได้ ก็เลยอยากแนะนำนักลงทุนรายย่อยไปซื้อกองทุนรวมที่มีผลประกอบการย้อนหลังดี ไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นใหญ่หุ้นเล็ก ถึงเวลาตลาดกลับมาฟื้นตัวหุ้นใหญ่หุ้นเล็กจะฟื้นตัวหมด”

นายก้องเกียรติ กล่าว

ผู้จัดการเชียร์ลงทุนหุ้น A-Share คาดเม็ดเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้น

บลจ.ทหารไทย เผยแพร่บทวิจัยเกี่ยวกับมุมมองที่ดีกับตลาดหุ้นจีนในอนาคต เนื่องจากจีนกำลังมุ่งสู่นโยบาย “Made In China 2025” ซึ่งเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่จากเดิมเน้นเรื่องของอุตสาหกรรมหนัก เน้นการผลิตต้นทุนต่ำ และไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีมากนัก หรือที่เรียกว่า “Old Economy” เปลี่ยนไปสู่รูปแบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เน้นเรื่องของนวัตกรรมในการผลิตและเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนประเทศ หรือที่เรียกว่า “New Economy”

ปัจจุบันจีนก้าวเข้ามาเป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ขึ้นมาใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีการคาดการณกันว่าในปี 2030 เศรษฐกิจจีนจะเติบโตเป็นอันดับ 1 ของโลกแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ หากพิจารณาในส่วนของรายได้ประชาติต่อจำนวนประชากร เราจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปี 2018 รายได้ประชาชาติต่อประชากรของประเทศจีนเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า สะท้อนถึงสถานะทางเศรษฐกิจของจีนที่ดีและมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด

นอกจากนี้ จีนยังมีการมุ่งเน้นในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ให้เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ Made In China 2025 ที่ยกระดับการผลิต โดยใช้นวัตกรรมและการผลิตขั้นสูง เพื่อสร้างการเติบโตและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในอนาคต โดยที่ผ่านมาย้อนหลัง 10 ปี ประเทศจีนมีการใช้จ่ายทางด้านการวิจัยและพัฒนาสูงขึ้นกว่า 3 เท่า คิดเป็นสัดส่วนโดยเปรียบเทียบสูงกว่าประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ที่ถือได้ว่าเป็นสองประเทศที่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบัน

“ปัจจุบันจีนถือได้ว่ามีบทบาทบนเวทีนานาชาติมากยิ่งขึ้น และอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่มีแนวคิดมาจากจีนคือ แนวคิดการก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่งคั่งและปรับปรุง ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย ณ สิ้นปี 2019 ซึ่งมีสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้วกว่า 76 ประเทศ และมีประเทศในกลุ่มภูมิภาคยุโรปเข้าร่วมเป็นสมาชิกอีกด้วย เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นต้น อีกทั้งยังมีโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้ลงทุนแล้วกว่า 60 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ”

บทวิจัยฯ บลจ.ทหารไทย ระบุ

ประเด็นสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจและหันมาจับตาการลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-Share มากขึ้น คือ การที่ MSCI มีการนำหุ้นจีนในดัชนี A-Share เข้ามาคำนวณใน MSCI Emerging Market Index (MSCI EM) ซึ่งหลังการนำหุ้นในดัชนี A-Share เข้ามาคำนวณใน MSCI EM คาดว่าจะใช้เวลาถึงปี 2027 และจะทำให้บริษัทหุ้นจีนมีสัดส่วนรวมในดัชนี MSCI EM คิดเป็นประมาณ 40% โดยเป็นสัดส่วนของ A-Share ประมาณ 16% ของดัชนี MSCI EM ซึ่งคาดว่าจะมีเงินทุนไหลเข้าดัชนี A-Share เพิ่มขึ้นและส่งผลบวกต่อบริษัทที่จดทะเบียนในดัชนี A-Share (ดัชนี A-Share เป็นดัชนีที่คำนวณจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเซินเจิ้น โดยมีการซื้อขายเป็นสกุลเงินหยวน)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top