“อนุสรณ์” คาดล็อกดาวน์รอบนี้ศก.สูญกว่า 4.9-6.3 หมื่นลบ. แนะรัฐเยียวยาเสมอภาค

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า จากการประเมินในเบื้องต้นคาดว่าการล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยง และยกระดับมาตรการควบคุมโรคตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคมนั้น จะทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณอย่างต่ำวันละ 3,500-4,500 ล้านบาท ทำให้เกิดความเสียหายโดยรวมขั้นต่ำในระยะเวลา 2 สัปดาห์ประมาณ 49,000-63,000 ล้านบาท ผลกระทบทางด้านความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์ครั้งนี้ น้อยกว่าการล็อกดาวน์ทั้งประเทศในช่วงปี 2563

อย่างไรก็ตาม การล็อกดาวน์ครั้งนี้ ซ้ำเติมความยากลำบากทางเศรษฐกิจต่อครัวเรือนรายได้น้อย ผู้ใช้แรงงานรายวัน และธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก ขนาดย่อมอย่างรุนแรง เนื่องจากกลุ่มคนและกิจการเหล่านี้อยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว ประกอบกับข้อจำกัดทางด้านการคลังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นมากตามลำดับ มาตรการชดเชยรายได้และช่วยเหลือเยียวยา จึงต้องเน้นความเสมอภาคมากกว่าความเท่าเทียม

มาตรการทางเศรษฐกิจ ต้องมุ่งเป้าไปยังพื้นที่เสี่ยงที่ประชาชนมีปัญหาความแร้นแค้นในการดำรงชีวิตเป็นสำคัญ และต้องพุ่งตรงไปที่กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กและขนาดย่อม เพื่อรักษาระดับการจ้างงานให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และประคับประคองไม่ให้เกิดการปิดกิจการเพิ่มเติมจำนวนมาก ไม่จำเป็นที่ประชาชนหรือธุรกิจทุกกลุ่มจะต้องได้รับความช่วยเหลือเท่ากันหมด ต้องเน้นช่วยคนที่เดือดร้อนมากที่สุดก่อน เพราะทรัพยากรและงบประมาณมีจำกัด

พร้อมมองว่า การที่รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี สละเงินเดือนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และสมาชิกวุฒิสภาก็ควรสละเงินเดือนด้วย หากประธานวุฒิสภา (เงินเดือน 119,920 บาท) รองประธานวุฒิสภา (เงินเดือน 115,740 บาท) สมาชิกวุฒิสภา (113,560 บาท) ทุกคนสละเงินเดือนเป็นเวลา 3 เดือน จะได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 85.90 ล้านบาท ในการช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อนทางเศรษฐกิจ หรืออาจนำเงินไปเป็นค่าตอบแทนพิเศษให้บุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัครเพื่อเป็นขวัญกำลังใจได้ ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนนั้น มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอยู่แล้ว และต้องดูแลประชาชนในพื้นที่อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสละเงินเดือน แต่หากต้องการเสียสละเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ความจริงแม้ไม่ประกาศล็อกดาวน์ก็เหมือนกับกึ่งล็อกดาวน์อยู่แล้วสำหรับพื้นที่เสี่ยง เพราะประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยในชีวิตและเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการของ ม.หอการค้าไทย ดิ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ คนจำนวนหนึ่งจึงล็อกดาวน์ตัวเองอยู่ที่บ้าน และลดกิจกรรมต่างๆ ลง

มาตรการล็อกดาวน์ล่าสุดจะไม่มีผลใดๆ ในการควบคุมโรคระบาด และเพิ่มความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็น หากรัฐบาลไม่สามารถจัดหาวัคซีน mRNA มาฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ให้ได้ภายใน 2 สัปดาห์นี้ รวมทั้งฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บรรดาเยาวชนและเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีโดยด่วน เพราะการติดเชื้อจะลามสู่โรงเรียนและครัวเรือนมากขึ้น

“ในบรรดาประเทศที่มีทั้งอัตราการฉีดวัคซีน และอัตราการติดเชื้อโควิด-19 สูง ล้วนเป็นประเทศที่อาศัยวัคซีนเชื้อตายจากจีนทั้งสิ้น วัคซีนเชื้อตายของจีน ยังขาดข้อมูลในด้านประสิทธิภาพว่าสามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์เดลต้าได้แค่ไหน”

นายอนุสรณ์กล่าว

พร้อมมองว่า ค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าเพิ่มขึ้นอีกในสัปดาห์หน้า จากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น และเงินทุนระยะสั้นไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินบาทถูกจำกัดโดยส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของไทยที่ยังสูงกว่าของสหรัฐฯค่อนข้างมาก เงินทุนยังคงไหลเข้ามาพักในตลาดการเงินของไทยอยู่ ขณะที่เอกชนไทยเร่งออกหุ้นกู้ในช่วงครึ่งปีหลังไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท เพื่อตุนสภาพคล่องและรีไฟแนนซ์หนี้เดิมรองรับเศรษฐกิจชะลอตัวลง มีการขอยืดการชำระหนี้มูลค่าประมาณ 9.8 พันล้านบาท โดยสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มเติมยังไม่ชัดเจนนัก

ขณะที่การประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าธนาคารกลาง G20 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ยืนยันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่การฟื้นตัวเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียมในแต่ละประเทศ และในแต่ละภาคเศรษฐกิจ และยังยืนยันการเดินหน้าในการปฏิรูประบบภาษีโลก (Global Tax Reform) โดยเฉพาะการยักย้ายถ่ายเทผลกำไรของบรรษัทข้ามชาติไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ จึงเห็นควรให้มีการจัดเก็บภาษีในอัตราขั้นต่ำที่เป็น Global effective minimum tax ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนหรือผลต่อบรรษัทข้ามชาติจนกว่าจะมีรายละเอียดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนในการประชุมเดือนตุลาคม

ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ที่จะทยอยประกาศในระยะต่อไป มีการคาดการณ์ว่าในหลายกลุ่มยังคงปรับตัวในทิศทางดีขึ้น ต่อเนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับระยะเดียวกันเมื่อปีที่แล้วที่มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ แต่จะไม่ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวขึ้นมากนัก เพราะผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังอาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top