แนวโน้มหุ้นไทยเช้าแกว่งไซด์เวย์อิงบวกรับราคาน้ำมันขึ้น-เก็งกลุ่มส่งออกหนุน

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์อิงบวกเล็กน้อย หลังราคาน้ำมันดีดขึ้น 3 วันซ้อน-เก็งกำไรกลุ่มส่งออกรับเงินบาทอ่อนค่า โดยเฉพาะคาด DELTA หนุน แต่กรอบการแกว่งตัวอาจจำกัดจากแรงขายทำกำไรก่อนหยุดยาว ด้านตลาดภูมิภาคเช้านี้บวกเล็กน้อย จับตาตัวเลขส่งออกไทยวันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,545-1,540 แนวต้าน 1,560-1,565 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์อิงบวกเล็กน้อย หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นได้ 3 วันติดต่อกัน และอาจมีเล่นเก็งกำไรกลุ่มส่งออกจากเงินบาทอ่อนค่า โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอกนิกส์ แนะจับตา DELTA มีผลต่อ SET สูงอาจช่วยหนุนตลาดฯปรับตัวขึ้น แต่กรอบการแกว่งตัวของดัชนีฯอาจจำกัดจากแรงขายทำกำไรก่อนเข้าสู่วันหยุดยาวของตลาดบ้านเรา

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวกเล็กน้อยราว 0.3% แนะติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นเดือน ก.ค.ของสหรัฐและยุโรปที่จะทยอยออกมา ส่วนบ้านเราจะมีการแถลงตัวเลขส่งออกของไทยในวันนี้

พร้อมให้แนวรับ 1,545-1,540 จุด ส่วนแนวต้าน 1,560-1,565 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,823.35 จุด เพิ่มขึ้น 25.35 จุด
    (+0.07%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,367.48 จุด เพิ่มขึ้น 8.79 จุด (+0.20%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,684.60 จุด เพิ่มขึ้น
    52.64 จุด (+0.36%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.01 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้น 17.11 จุด ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ (23 ก.ค.) เนื่องในวันกีฬา (Sports Day)
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 ก.ค.) 1,552.36 จุด เพิ่มขึ้น 11.48 จุด (+0.74%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 87.05 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ก.ค.64
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 ก.ค.) ปิด 71.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
    เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.3%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 ก.ค.) อยู่ที่ 2.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 32.95/97 อ่อนค่าหลังดอลลาร์แข็งค่า ให้กรอบวันนี้ 32.80-33.00
  • แบงก์ชาติหวั่น สถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 รุนแรงและลากยาวเกินคาด ทำให้ต้องล็อกดาวน์นานขึ้น ฉุดเศรษฐกิจปีนี้ทรุด
    หนัก 0.8-2% จับตาสาธารณสุขวิกฤติ ภาคการผลิตชะงัก แนะรัฐออกมาตรการการเงิน-การคลังรับมือให้เพียงพอ ขณะที่สำนักวิจัยเอกชน
    แห่หั่นเป้าจีดีพี อีไอซีชี้ระบาดยืดเยื้อ 8 เดือน ทุบบริโภคหดตัว 7.7 แสนล้าน จี้เร่งกระจายวัคซีนให้รวดเร็วและทั่วถึง
  • ส.อ.ท.ปรับเป้าผลิตรถยนต์ปีนี้แตะ 1.6 ล้านคัน รับตลาดส่งออกรถยนต์ฟื้น โชว์ยอดผลิตรถยนต์เดือน มิ.ย.64 ผลิตได้
    134,245 คัน เพิ่มขึ้น 87.22% จากปีก่อน ส่งออกพุ่งกว่า 65%
  • โฆษก ศบศ.เผยนายกฯ พอใจนำร่องเปิดประเทศผ่านภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์-สมุยพลัสโมเดล 20 วันเงินสะพัดกว่า 534 ล้าน
    บาท เล็งรุกต่อ พังงา กระบี่ เริ่ม 1 ส.ค.นี้ พร้อมหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนดึงต่างชาติเข้าประเทศ ด้านคมนาคม
    พร้อมรับเปิดประเทศจังหวัดอื่นๆ ต่อไป
  • สำนักวิจัยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 64 จาก 1.5% เหลือ 0.5%
    เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 อาจยืดเยื้อ และหากจำเป็นต้องล็อกดาวน์ที่ยาวนานกว่า 3 เดือน หรือต้องใช้มาตรการล็อก
    ดาวน์ที่มีข้อจำกัดมากขึ้น กระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกคาดว่าเศรษฐกิจไทยติดลบได้ 0.8%
  • EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ ลงจากเดิม 1.9% มาอยู่ที่ 0.9% เป็นผลจากการระบาดของ COVID-19 ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายตัวในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการอุปโภค-บริโภคค่อนข้างมาก มาจากมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดขึ้น (ล็อกดาวน์) ความกังวลของประชาชนในการใช้จ่ายภายใต้ความ ไม่แน่นอนที่สูงขึ้น (Fear Factor) และแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกขึ้น (Scarring) ขณะที่เม็ดเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่ออกมายังไม่เพียงพอและทั่วถึง จึงช่วยบรรเทาผลกระทบได้เพียงบางส่วน

หุ้นเด่นวันนี้

  • STECH (บมจ.สยามเทคนิคคอนกรีต) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดหมวดธุรกิจวัสดุ
    ก่อสร้าง โดยมีราคาขาย IPO ที่ 2.78 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส (เป็นผู้จัดจำหน่ายฯ) ให้ราคาเป้าหมาย 3.25 บาท โดยบริษัทฯเป็นผู้เชี่ยวชาญธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง และต่อยอดไปธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงและเคเบิลใยแก้วนำแสง มีโรงงานครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศทำให้ได้เปรียบด้านต้นทุนค่าขนส่ง โดยคาด STECH จะได้ประโยชน์จากการเร่งลงทุนของภาครัฐและการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน คาดกำไร 2 ปีข้างหน้า +20% CAGR
  • CHG (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 4.50 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2/64 จะพุ่งขึ้นเป็น 425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69%qoq และ 175%
    yoy จากรายได้การตรวจคัดกรองเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้นและมีรายได้จากการให้บริการ Hopitel
  • JWD (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 18 บาท คาดกำไรปกติ Q2/64 เติบโตเล็กน้อย Q-Q และ +102% Y-Y แม้ว่า Q2 จะเป็น low season แต่ปีนี้มีการรวมกิจการ VNS Transport ที่ซื้อเข้ามา 100% เมื่อเดือน พ.ค. และซื้อหุ้นเพิ่มใน EMLOG เป็น 60% ทำให้ต้องรวมงบการเงิน รวมถึงคาดมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า AIMIRT หนุน พร้อมคาดกำไรเติบโตทุกไตรมาสของปีนี้ ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ 1 หมื่นลบ.ใน 5 ปี และมีโอกาสทำ M&A อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคาดกำไรปี 64 +74% Y-Y และมี Upside เพิ่มเติมในอนาคต
  • PTTEP (ไอร่า) เป้า 146 บาท คาด Q2/64 มีกำไรสุทธิ 10,233 ล้านบาท ลดลง 11% qoq แต่เพิ่มขึ้น 137% yoy ขณะที่คาด EBITDA อยู่ที่ 32,823 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% qoq และ 44% yoy โดยในช่วง Q2/64 นี้ คาดมี non-recurring เป็นปัจจัยลบประมาณ 2,600 ล้านบาท จากผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมันดิบ จากการขายน้ำมันดิบล่วงหน้า ส่งผลให้ไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top