DailyFX เผยต่างชาติทุบขายหุ้นเอเชียในเดือนก.ค. เหตุวิตกไวรัสเดลตา-จีนคุมธุรกิจเทคโนฯ

ข้อมูลจาก DailyFX ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นในตลาดหุ้นเอเชียจำนวนมากในเดือนก.ค. เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชีย

รายงานระบุว่า นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นในตลาดหุ้นอินเดีย ไทย และฟิลิปปินส์ คิดเป็นมูลค่า 1.51 พันล้านดอลลาร์, 544 ล้านดอลลาร์ และ 183 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ

ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย คิดเป็นวงเงินรวมกันทั้งสิ้น 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. สูงกว่าในเดือนมิ.ย.ซึ่งอยู่ที่ระดับ 725 ล้านดอลลาร์

มาร์กาเร็ต หยาง นักวิเคราะห์ของ DailyFX กล่าวว่า การที่เม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียจำนวนมากนั้น อาจมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ย่ำแย่ลงในภูมิภาค และจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเฟดระบุว่า กรรมการเฟดจำนวน 13 จาก 18 รายคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปลายปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าเดิมที่เคยส่งสัญญาณในเดือนมี.ค.ว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 นอกจากนี้ เฟดยังคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปี 2566

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลจีนได้ออกกฏให้สถาบันกวดวิชาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่มการศึกษาร่วงลงอย่างหนัก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ จีนได้ออกมาตรการควบคุมธุรกิจเทคโนโลยี

อย่างไรก็ดี จุน หรง เยี๊ยบ นักวิเคราะห์จากบริษัท IG ในสิงคโปร์กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อหุ้นในตลาดเอเชียอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกเริ่มเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความหวังที่ว่าสภาคองเกรสสหรัฐจะอนุมัติร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน

วุฒิสภาสหรัฐกำลังผลักดันร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนเชื่อมั่นว่า โครงการดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน American Jobs Plan จะช่วยสร้างงานหลายล้านตำแหน่งในสหรัฐ

ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวแข็งแกร่งถึง 7% ในปีนี้ หากมีการบังคับใช้กฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งริเริ่มโดยคณะบริหารของปธน.ไบเดน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ส.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top