NOBLE รอประเมินโควิดก่อนตัดสินใจเปิดโครงการใหม่ใน H2/64,คงเป้ายอดโอน-ยอดขาย

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยกับ”อินโฟเควสท์” ว่า บริษัทยังคงติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่มีการแพร่ระบาดมาต่อเนื่อง และการที่มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดมาตั้งแต่ช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อภาพรวมต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ และภาพรวมของการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงไปมาก จากความมั่นใจที่ลดลงไป หลังจากที่เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงักไปชั่วคราวจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้รายได้และเงินของคนเริ่มลดลง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อที่ชะลอตัวลงมาก ทำให้กระทบต่อภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์

โดยที่การเปิดโครงการใหม่ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจาณาว่าโครงการที่เหลือจะสามารถเปิดขายในปี 64 หรือไม่ โดยเฉพาะโครงการใหม่ที่เดิมจะเปิดในช่วงครึ่งปีแรกที่ยังไม่ได้เปิดอีก 2-3 โครงการที่เลื่อนมานครึ่งปีหลังนี้ จากแผนงานทั้งหมดในปี นี้ที่จะเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 11 โครงการ มูลค่ารวม 4.5 หมื่นล้านบาท เพราะจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้การเปิดขายโครงการใหม่ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ แม้ว่าบริษัทจะมีความพร้อมแล้วก็ตาม

“ไตรมาส 3 คงมีผลกระทบเข้ามาพอสมควรสำหรับการขายและการเปิดโครงการ จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง มูสตลาดก็ยังไม่ดี ตอนนี้ที่มองว่าเป็นปัจจัยกดดันนั้นเป็นเรื่องความมั่นใจและเงินในกระเป๋าของคนที่ลดลง คนก็คิดมากขึ้นในการซื้อ ทำให้ตอนนี้การซื้อก็คงชะลอไปก่อน จนกว่าสถานการณ์กลับมาดี และเราเองก็มีผลกระทบจากโครงการที่ยังดีเลย์การเปิดไปเรื่อยๆ ซึ่งยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร”นายธงชัย กล่าว

สำหรับมาตรการปิดแคมป์คนงานในช่วงที่ผ่านมามองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้นต่อธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันสามารถให้คนงานเข้ามาเก็บงานเล็กๆน้อยๆ ในโครงการเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าได้ ซึ่งส่วนใหญ่การโอนโครงการในครึ่งปีหลังของบริษัทจะเป็นการทยอยโอนโครงการที่สร้างเสร็จแล้วในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ ซึ่งจะมีการโอนต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 3-4 โครงการต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ไม่ต่ำว่า 2 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 1.2 พันล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทยังคงเป้าหมายยอดโอนในปีนี้ไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งนอกจากการรับรู้รายได้จาก Backlog เข้ามาแล้ว ก็ยังมีการทยอยโอนโครงการที่พร้อมโอนซึ่งทยอยขายออกมาต่อเนื่อง ซึ่งมีมูลค่ารวมราว 4-5 พันล้านบาท ที่จะเข้ามาสนับสนุนรายได้ในปีนี้ ส่วนเป้าหมายยอดขายในตอนนี้ยังคงเป้าหมายไว้ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศจะเป็นอย่างไร หากมีแนวโน้มการแพร่ระบาดต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ก็อาจจะต้องมีการพิจารณาปรับเป้าหมายยอดขายได้

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ส.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top