In Focus: สิ้นสุดสงคราม 20 ปี ตาลีบันประกาศชัยชนะเหนืออัฟกานิสถาน

สมาชิกกลุ่มตาลีบันนั่งบนรถหุ้มเกราะซึ่งอยู่ด้านนอกสนามบินนานาชาติฮามิด คาร์ไซ ในกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ภาพ: รอยเตอร์

นับตั้งแต่สหรัฐและกองกำลังจากชาติพันธมิตรเริ่มถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานในช่วงเดือนพ.ค. ทางกลุ่มตาลีบันก็ได้เริ่มเปิดฉากสู้รบกับรัฐบาลอัฟกานิสถานเพื่อช่วงชิงประเทศอัฟกานิสถานในทันทีก่อนที่จะสำเร็จในวันอาทิตย์ที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยนายอัชราฟ กานี ประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน ได้หลบหนีออกจากประเทศ

ภาพที่ประชาชนนับไม่ถ้วนในสนามบินกรุงคาบูล ภาพที่ประชาชนแย่งกันขึ้นเครื่อง หรือพยายามเกาะเครื่องที่กำลังบินขึ้นจนตกลงมาตาย ต่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการขึ้นสู่อำนาจเด็ดขาดของกลุ่มตาลีบัน ซึ่งก็สร้างความกังวลและคำถามมากมายให้กับประชาคมโลกว่า เหตุใดกลุ่มตาลีบันจึงสามารถทำสงครามยึดอัฟกานิสถานได้รวดเร็วเพียงนี้ และอนาคตของอัฟกานิสถานจะเป็นเช่นไร

 

ทำไมกลุ่มตาลีบันจึงยึดอัฟกานิสถานได้อย่างรวดเร็วหลังนานาชาติถอนทหาร
 
ทั่วโลกต่างตกตะลึงในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถาน ที่กลุ่มตาลีบันสามารถทำสงครามยึดประเทศจากรัฐบาลอัฟกานิสถานได้ในเวลาเพียง 3 เดือนหลังกองกำลังนานาชาติถอนตัวออกจากอัฟกานิสถาน โดยหน่วยข่าวกรองของสหรัฐเคยคาดการณ์ไว้เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ว่า กลุ่มตาลีบันจะสามารถปิดล้อมกรุงคาบูลได้ใน 30 วัน และเข้ายึดกรุงคาบูลได้ใน 90 วัน แต่ให้หลังเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์กลุ่มตาลีบันก็ยึดครองกรุงคาบูลได้แล้วผู้เชี่ยวชาญหลายรายให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักมาจากข่าวกรองที่ล้มเหลวซึ่งประเมินกำลังของกลุ่มตาลีบันผิดพลาดไปอย่างมาก ขณะเดียวกันกลุ่มตาลีบันก็แข็งแกร่งขึ้น มีความเชี่ยวชาญในการรบ รวมถึงมีความตั้งใจที่จะจัดตั้งรัฐอิสลามแห่งอัฟกานิสถาน (Islamic Emirate of Afghanistan) อย่างจริงจัง
 
 

นอกจากนี้ การคอร์รัปชันของรัฐบาลอัฟกานิสถานและความอ่อนแอของกองทัพอัฟกานิสถานก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลพ่ายแพ้ต่อกลุ่มตาลีบันอย่างรวดเร็ว โดยแจ็ค วัตลิงก์ นักวิจัยจากสถาบันบริการรอยัลยูไนเต็ด (RUSI) แห่งลอนดอนระบุว่า กองทัพอัฟกานิสถานไม่มีการบัญชาการที่มีประสิทธิภาพ ผู้นำไม่รู้ว่ามีทหารในหน่วยตัวเองเท่าใด อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ชำรุดหรือสูญหาย และทหารที่ไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ ทหารบางส่วนยินยอมที่จะขายอาวุธให้กลุ่มตาลีบันเพื่อแลกกับเงิน และบางส่วนถึงกับหนีทหาร ทำให้จำนวนทหารที่ทางการประกาศออกมาเป็นเพียงตัวเลขลอยๆ และนั่นนำไปสู่อีกหนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุด คือความไม่เต็มใจที่จะต่อสู้

วัตลิงก์ระบุว่า หนึ่งในสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากการยึดอัฟกานิสถานที่รวดเร็วของกลุ่มตาลีบันก็คือ มีการต่อต้านจากทางกองทัพอัฟกานิสถานน้อยมาก ทหารจำนวนมากขาดความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลว่าจะสามารถช่วยเหลือหรือปกป้องพวกเขาหรือคนในครอบครัวจากกลุ่มตาลีบันได้ ดังนั้นเมื่อกลุ่มตาลีบันยื่นข้อเสนอให้ยอมจำนนเพื่อความปลอดภัย ก็มีทหารมากมายที่เลือกทางดังกล่าว

นอกจากนี้ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรายหนึ่งของสหรัฐก็ได้ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรมีความเข้าใจอัฟกานิสถานน้อยเกินไป โดยระบุว่า อัฟกานิสถานประกอบไปด้วยชนเผ่า ภาษา วัฒนธรรม และศาสนาที่หลากหลาย ซึ่งทางสหรัฐและพันธมิตรก็พยายามจะเปลี่ยนให้เป็นประเทศประชาธิปไตยตามมุมมองของตะวันตก

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวระบุว่า ความเข้มแข็งของกลุ่มตาลีบันคือการที่พวกเขาเป็นชาวพาชตูน (Pashtun) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในอัฟกานิสถาน ขณะเดียวกันสหรัฐและพันธมิตรสนับสนุนการรวมตัวกันของชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้มีความสามารถจะรวมประเทศเข้าด้วยกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

วัตลิงก์กล่าวเสริมว่า การทำข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสหรัฐกับกลุ่มตาลีบันในสมัยคณะทำงานของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2563 ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลอัฟกานิสถานย่ำแย่ลงไปอีก เนื่องจากเป็นการมองข้ามรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและทำลายความเคารพที่มีเพียงเล็กน้อยจากประชาชนไปจนหมด
 
ท่าทีจากนานาชาติ
 
หลังจากที่กลุ่มตาลีบันได้รุกคืบเข้าสู่กรุงคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน นานาประเทศทั่วโลกก็ได้เริ่มสั่งปิดสถานทูตและอพยพบุคลากรของสถานทูตในทันที ก่อนที่จะมีการสั่งอพยพประชาชนของตนเองในเวลาต่อมา หลังจากที่กลุ่มตาลีบันเข้ายึดกรุงคาบูลและทำเนียบประธานาธิบดีอัฟกานิสถานได้เรียบร้อย
 
ด้านนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เปิดเผยว่า ไม่มีใครควรยอมรับกลุ่มตาลีบันเป็นรัฐบาลอัฟกานิสถาน พร้อมเรียกร้องให้ชาติตะวันตกแสดงจุดยืนร่วมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้อัฟกานิสถานกลายเป็นแหล่งก่อการร้าย ผ่านกลไกต่างๆ เช่น สหประชาชาติ และ NATO
 
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษยอมรับว่าการที่สหรัฐถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานเป็นการเร่งให้สถานการณ์ในอัฟกานิสถานเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น แต่ผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่คาดได้อยู่แล้ว
 
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็ออกมายอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้มาก โดยปธน.ไบเดนกล่าวว่า “สถานการณ์เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก กองทัพอัฟกานิสถานพ่ายแพ้ ซึ่งบางครั้งก็เกิดจากการไม่ต่อสู้ด้วยซ้ำ ไม่ควรมีชาวอเมริกันต้องต่อสู้และตายในสงครามที่กองทัพอัฟกานิสถานเองไม่เต็มใจที่จะต่อสู้ด้วยตนเอง”

“ปธน.กานีเคยกล่าวว่ากองทัพอัฟกานิสถานจะสู้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด หากตอนนี้อัฟกานิสถานไม่สามารถต้านทานกลุ่มตาลีบันได้ ไม่ว่ากองทัพสหรัฐจะคงอยู่ในอัฟกานิสถานต่อไปอีก 1 ปี 5 ปี หรือ 20 ปี ก็ไม่ได้ทำให้มีความแตกต่างอะไรนัก” ปธน.ไบเดนกล่าวเสริม

คำสัญญาของกลุ่มตาลีบัน

เมื่อครั้งที่ตาลีบันครองอำนาจในช่วงปี 2539-2544 กลุ่มตาลีบันได้ตั้งหนึ่งในรัฐบาลที่เข้มงวดที่สุดในโลกขึ้น โดยมีการประหารผู้คนต่อหน้าสาธารณะ, การประหารด้วยการขว้างหินใส่จนตาย, การใช้กฎหมายชารีอะห์ที่เข้มงวด, ห้ามผู้หญิงทำงาน, ห้ามเด็กหญิงเข้าเรียน, ผู้หญิงต้องปิดบังใบหน้าและต้องมีญาติฝ่ายชายไปด้วยหากต้องการออกนอกบ้าน ขณะที่ผู้ชายถูกห้ามเล็มหนวดเครา

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้กลุ่มตาลีบันต้องการปรับปรุงหลายๆ อย่างให้เป็นสมัยใหม่มากขึ้น โดยซูเฮล ชาฮีน โฆษกของกลุ่มตาลีบันได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่าจะเคารพสิทธิของสตรี โดยจะอนุญาตให้สตรีสามารถรับการศึกษาและทำงานได้ แต่ต้องสวมใส่ฮิญาบ ขณะที่ในวันอังคารที่ผ่านมา ซาบีฮุลลาห์ มูจาฮิด โฆษกอีกคนของกลุ่มตาลีบันที่ไม่เคยเปิดเผยใบหน้าตัวเองได้ออกมากล่าวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกว่า “กลุ่มตาลีบันจะเคารพสิทธิสตรีภายใต้กรอบกฎหมายอิสลาม”
 
นอกจากนี้ ยังมีแถลงการณ์จากกลุ่มตาลีบันที่ให้สัญญาว่า จะรับรองความปลอดภัยและปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติยศของประชาชน และสร้างสภาพแวดล้อมที่สงบสุขและปลอดภัยสำหรับประเทศชาติ กลุ่มตาลีบันไม่มีความสนใจในทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ใด แต่จะปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาติเป็นหลัก รวมถึงนิรโทษกรรมให้กับทุกคนที่เคยทำงานให้หรือช่วยเหลือกองกำลังทหารจากตะวันตก หรือมีตำแหน่งในคณะทำงานของรัฐบาลอัฟกานิสถานชุดเก่า
 
ในส่วนของเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มตาลีบันนั้น ผู้คนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเฉพาะในสถานที่ราชการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สุขภาพ สังคมหรือวัฒนธรรม นอกจากนี้ กลุ่มตาลีบันยังประกาศรับรองความปลอดภัยของนักการทูต สถานทูต สถานกงสุล พนักงานองค์กรการกุศลทั้งที่เป็นชาวอัฟกานิสถานและชาวต่างชาติ รวมถึงจะรับรองสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยให้ด้วย

 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าในบางเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มตาลีบันก็มีการปกครองที่เข้มงวดขึ้น บางอย่างคล้ายกับเมื่อช่วงปี 2539-2544 เช่น สตรีต้องใส่ชุดคลุมปกปิดทั้งตัวหรือ บูร์กา (Burka) และหากออกนอกบ้านต้องมีผู้ชายพาไปด้วย สั่งผู้ชายห้ามโกนหนวดเครา และห้ามตัดผมแบบตะวันตก ขณะที่ครูผู้ชายจะสามารถสอนนักเรียนชายได้เท่านั้น และครูผู้หญิงจะสามารถสอนนักเรียนหญิงได้เท่านั้น

แม้สงครามระยะเวลาเกือบ 20 ปีในอัฟกานิสถานได้สิ้นสุดลงแล้วด้วยชนะอย่างเด็ดขาดของกลุ่มตาลีบัน แต่คงเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าจากนี้ไปอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของกลุ่มตาลีบันจะเดินหน้าไปในทิศทางใด กลุ่มตาลีบันจะรักษาสัญญาหรือไม่ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ และหวังว่าพวกเขาจะรักษาสัญญานั้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ส.ค. 64)

Tags: , , , , , , , , , , ,
Back to Top