ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาด กนง.รอบนี้ตรึงดอกเบี้ยหลังสถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 29 ก.ย.นี้จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเริ่มลดลง

โดยจากการประชุม กนง.ครั้งที่แล้วในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา กนง.มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ที่ 4 ต่อ 2 เสียง โดย 2 เสียงลงมติเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี แต่คาดว่าในรอบนี้แรงกดดันให้ต้องลดดอกเบี้ยนโยบายจะมีน้อยลง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศได้ผ่านจุดสูงสุดและเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเริ่มลดลง

ดังนั้นในการประชุม กนง.ในสัปดาห์หน้านี้ คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% และในการประชุมครั้งนี้จะมีแถลงประมาณการเศรษฐกิจ โดยคาดว่า กนง.จะยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 64 เติบโตราว 0.7% สอดคล้องกับคาดการณ์ในรายงาน กนง. เดือนส.ค.ที่ผ่านมา

ในกรณีที่สถานการณ์พลิกกลับมาเกิดการระบาดระลอกใหม่และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง โดยขณะนี้ความเป็นไปได้ยังไม่สูงนัก การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ กนง.อาจนำมาพิจารณา แม้ว่าการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอาจจะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจผ่านต้นทุนการเงินที่ปรับลดลง แต่การปรับลดดอกเบี้ยในจังหวะที่ธนาคารกลางต่างๆหลายแห่ง รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มส่งสัญญาณถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในระยะอันใกล้จะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าการปรับลดในจังหวะที่ธนาคารกลางหลักทั่วโลกยังดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสวนทางกับตลาดโลกจะเป็นการตอกย้ำถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและอาจกระตุ้นให้เกิดเงินทุนไหลออกจากไทย สร้างความผันผวนให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงกว่าเดิมจากที่มีทิศทางอ่อนค่าอยู่แล้ว ท่ามกลางแนวโน้มแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากเฟดส่งสัญญาณลดวงเงิน QE

หากสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มมีความเป็นไปได้สูงขึ้น ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงต้องชั่งน้ำหนักผลกระทบต่างๆอย่างระมัดระวัง และธปท.ยังคงมุ่งเน้นการใช้มาตรการที่ตรงจุดเพื่อลดภาระหนี้สินของภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 64)

Tags: , ,
Back to Top