รัฐบาลเตรียมใช้กองทุนน้ำมันฯ ดูแลราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำลังติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด เนื่องจากแนวโน้มสถานการณ์การใช้และราคาพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุมาจากความต้องการใช้พลังงานทั่วโลกหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่กลุ่มโอเปกควบคุมปริมาณการผลิต โดยกระทรวงพลังงานได้เตรียมมาตรการรับมือด้วยกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรักษาเสถียรภาพเรื่องราคา ไม่ให้ราคาน้ำมันดีเซลพื้นฐาน (บี10) สูงเกิน 30 บาท/ลิตร เพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อประชาชนผู้บริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ

“จะมีการใช้มาตรการช่วยเหลือจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพของระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้มีความผันผวนมากจนเกินไป หากราคาน้ำมันดีเซลพื้นฐาน (บี10) ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 30 บาท/ลิตร ก็จะเข้าไปดูแลราคา ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซล (บี10) อยู่ที่ 28.29 บาท/ลิตร ซึ่งราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลบี7 ถึง 3 บาทต่อลิตร จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนผู้ใช้น้ำมันดีเซลบี7 หันมาเติมน้ำมันดีเซลบี 10”

นายธนกร กล่าว

ที่ผ่านมากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีบทบาทในการรักษาระดับราคาน้ำมันให้มีเสถียรภาพเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้ช่วยเหลือราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) โดยตรึงราคาขายปลีกสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัมอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง (ไม่รวมค่าขนส่ง) ตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.63 เป็นต้นมา อีกทั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ยังได้มีมติเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ให้คงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มข้างต้นออกไปอีก 3 เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.64

นอกจากนี้รัฐบาลยังได้พิจารณาขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำ/ค่าไฟ ตั้งแต่เดือน ต.ค.64 – ก.ย.65 (12 เดือน) โดย ครม.มีมติอนุมัติงบกลางวงเงิน 2,018 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า 1.9 ล้านครัวเรือน และน้ำประปาประมาณ 186,625 ครัวเรือน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด โดยคำนึงถึงผลกระทบในทุกมิติ ซึ่งรัฐบาลมีเจตนารมณ์สำคัญที่จะรักษาระดับราคาน้ำมันที่คนไทยในฐานะผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด เอื้อต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมและการผลิต ขณะเดียวกันต้องให้เป็นภาระต่อภาครัฐน้อยที่สุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top