ณัฐวุฒิ แย้มเตรียมจัดคาร์ม็อบปลาย ต.ค. มั่นใจมีชุมนุมใหญ่ภายในสิ้นปีนี้

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวภายหลังร่วมกิจกรรมรำลึก 45 ปี 6 ตุลาฯ 19 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่า การต่อสู้ของนักศึกษาและประชาชนในการเรียกร้องประชาธิปไตยแม้จะต่างยุคต่างสมัยแต่ก็ยังเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไปอำนาจนอกเครือข่ายยังคงมีอิทธิพลเหนือระบบการเมือง และพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย

ทำให้มีการต่อสู้เกิดขึ้น การสูญเสียในช่วงที่ผ่านมาและการรำลึกฯ 45 ปี จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่คนกลุ่มใดกลุ่มนึง แต่หมายถึงสังคมไทยที่จะต้องหาข้อยุติร่วมกันให้ได้ หากยังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องนี้การต่อสู้ก็ยังคงอยู่ และเมื่อเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้พลังของคนหนุ่มสาวและคนในอดีตจะเป็นพลังที่อำนาจรัฐเอาชนะไม่ได้ จึงอยากให้ฝ่ายรัฐยอมรับความเปลี่ยนแปลง เพราะถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคม และหากการเปลี่ยนแปลงอยู่ในส่วนที่ถูกต้องก็จะนำไปสู่อนาคตและสังคมที่ดีกว่า แล้วก็จะทำให้คนที่มีความเห็นต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

แกนนำกลุ่ม นปช.กล่าวว่า การนัดชุมนุมเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเดือน ต.ค.นี้จะมีกิจกรรมของคนหนุ่มสาวอย่างต่อเนื่อง กลุ่มของตนเองจึงต้องชะลอกิจกรรมออกไปก่อน เพื่อให้การเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวเป็นจุดศูนย์รวมของการขับเคลื่อน และมองว่าข้อจำกัดของเรื่องโควิด-19 เป็นอุปสรรคในการออกมาร่วมชุมนุมทางการเมือง รูปแบบคาร์ม็อบจึงเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ในการแสดงออกได้ดีที่สุดในความคิดของตนเองตอนนี้ ซึ่งจะมีการจัดคาร์ม็อบอีกครั้งช่วงประมาณปลายเดือน ต.ค.

นายณัฐวุฒิ มั่นใจว่า หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ความกังวลใจของประชาชนลดลง จะเห็นการชุมนุมมวลชนขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะนัดโดยใครหรือจัดขึ้นโดยฝ่ายไหนก็ตาม และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้อย่างแน่นอน เมื่อประเมินจากบรรยากาศทางการเมืองแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าตนเองจะจัดชุมนุม ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นตนก็จะเข้าร่วม ไม่ว่าจะในฐานะเป็นแกนนำหรือเป็นมวลชน ส่วนที่ขณะนี้แกนนำหลายคนถูกจับกุมและยังไม่ได้รับการประกันตัวก็ไม่ได้ส่งผลต่อการต่อสู้ เพราะคนที่ยังอยู่ก็ยังคงยืนยันอุดมการณ์เดิม และจะเป็นการสร้างพลังการต่อสู้ให้มากขึ้น

นายณัฐวุฒิ ยอมรับว่า การชุมนุมคงไม่ได้ส่งผลกดดันกับคนที่ไม่คิดจะรับฟังเสียงของประชาชน แต่การชุมนุมจะไปเกิดผลกับประชาชน จะทำให้ประชาชนทั่วไปในวงกว้างรับรู้ความจริง ดังนั้นแม้ผู้มีอำนาจจะไม่รับฟังแต่ประชาชนด้วยกันจะฟังกันเองและจะนำไปสู่ข้อสรุปทางการเมืองในที่สุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ต.ค. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top