“ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค” เตรียมขายหุ้น IPO ปลาย ต.ค.ระดมทุนขยายกิจการ

นายธนัท วงษ์ชูแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรี ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PIN) เปิดเผยว่า PIN เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 290 ล้านหุ้น หรือคิดไม่เป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันรอสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)

นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PIN เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินกิจการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม พร้อมระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันของผู้ประกอบการในพื้นที่พาณิชยกรรม รวมถึงยังเป็นผู้พัฒนาอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าและเพื่อขายสำหรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมบนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่โลจิสติกส์ (Logistics Park) นอกจากนี้ ยังลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PPF) และเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของ PPF อีกด้วย

ทั้งนี้ PIN ถือเป็นหนึ่งในผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง ที่มีความโดดเด่นในด้านทำเลที่ตั้งของโครงการที่อยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของประเทศ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และอยู่บนถนนสายหลักที่เชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอู่ตะเภา

ปัจจุบัน บริษัทมีนิคมอุตสาหกรรม และโครงการ Logistics Park ที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 6 โครงการ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 1 (PIN1) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (แหลมฉบัง) (PIN2) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง และโครงการ 3 (PIN3) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง ได้ขายที่ดินในอุตสาหกรรมไปทั้งหมดแล้ว

และมีพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเหลือจำหน่ายอีกราว 1,800 ไร่ ใน 3 โครงการ คือ โครงการ 4 (PIN4) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 5 (PIN5) และนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 6 (PIN6) เตรียมพัฒนา Logistics Park จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการปิ่นทองแลนด์ (PL)

นายพีระ กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้รวมในปี 65 จะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 60% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 (PIN6) ซึ่งวางเป้ารายได้จากยอดขายที่ดินเติบโตไม่ต่ำกว่า 70% ขณะที่รายได้ค่าเช่าคาดว่าจะเติบโต 50% ส่วนรายได้จากค่าสาธารณูปโภคคาดว่าจะเติบโตในระดับ 10%

ทั้งนี้ บริษัทมองว่านโยบายของรัฐบาลที่จะมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศสามารถเข้ามาได้โดยไม่ต้องกักตัวนั้นถือว่าเป็นผลดี เพราะจะทำให้ผู้บริหารระดับสูงของแต่ละบริษัทสามารถเข้ามายังประเทศไทยได้สะดวกมากขึ้น โดยประเทศไทยถทอเป็น Hub อาเซียน ที่มีความโดดเด่นอย่างมาก จึงทำให้ต่างชาติมีความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

“เรามีเป้าหมายมุ่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างมั่นคงและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม โดยมีแผนต่อยอดพัฒนานิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองไปสู่เมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะ หรือ SMART CITY โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้บริหารจัดการเมืองนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงแผนพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม รองรับการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve เสริมสร้างความยั่งยืนให้แก่การดำเนินงานของบริษัท “ นายพีระ กล่าว

ด้านนายสุรัช พัฒนวงศ์ยืนยัง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฎิบัติการ PIN กล่าวว่า บริษัทเตรียมพัฒนาโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการในพื้นที่ EEC ประกอบด้วย 1.นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 (PIN6) พื้นที่โครงการราว 1,322 ไร่ จังหวัดระยอง ใกล้กับท่าเรือมาบตาพุด และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ (S-Curve) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิตเป็นหลัก ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายของภาครัฐได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะเปิดขายเฟสแรกภายในไตรมาส 4/64
2.โครงการ Logistics Park แห่งใหม่ โดยพัฒนาที่ดินและสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า บนพื้นที่ของโครงการที่ประกอบด้วยเขตปลอดอากร (Free Zone) และเขตทั่วไป (General Zone) คาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการปลายปีนี้ ซึ่งผลักดันโครงสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มขึ้นเป็น 40-50% ภายใน 4-5 ปีจากนี้ จากปัจจุบัน 20-30% ของรายได้รวม
ขณะที่นายพิมล เลิศทรัพย์อนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน PIN กล่าวว่า ภาพรวมรายได้จากการขายและการบริการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (61-63) อยู่ที่ 888.88 ล้านบาท 789.28 ล้านบาท และ 1,062.85 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 216.43 ล้านบาท 223.70 ล้านบาท และ 403.89 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตที่ดีมาจากการขายที่ดินที่พัฒนาแล้วในโครงการ PIN3, PIN4 และ PIN5 มากขึ้น และยังสามารถเพิ่มสัดส่วนของรายได้ Recurring Income ซึ่งมาจากรายได้การให้เช่าและให้บริการเพิ่มขึ้นรวมถึงบริหารควบคุมค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ แม้เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่สามารถเดินทางมาดูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและทำสัญญาได้ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการลูกค้าและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การจัดประชุมและให้ข้อมูลโครงการผ่านทางออนไลน์ เพื่อให้ข้อมูลและตอบข้อซักถามแก่ลูกค้าในช่วงที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนการเติบโตที่ดีของผลการดำเนินงาน ส่งผลให้รายได้จากการขายที่ดินงวด 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 205.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากจำนวนที่ดินที่ขายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิ 99.31 ล้านบาท เติบโตขึ้น 79% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 55.57 ล้านบาท
ส่วนนายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย PIN กล่าวว่า PIN มีจุดเด่นเรื่องทำเลที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดของ PIN ที่อยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของประเทศในพื้นที่ EEC

และโอกาสเติบโตจากโครงการใหม่ๆ เช่น โครงการ Logistics Park โครงการปิ่นทอง 6 และโครงการสาธารณูปโภคที่สนับสนุนการประกอบธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ทั้งโครงการท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จึงทำให้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ PIN ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยในระยะยาว กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักอยู่ในอุตสาหกรรม S-Curve

ประกอบกับจุดเด่นด้านแนวคิดการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) และแผนมุ่งยกระดับโครงการนิคมอุตสาหกรรมไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เพื่อเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในไทยและภูมิภาค นอกจากนี้ ด้วยบริการที่ครบวงจรของบริษัทฯ เช่น โรงงานและคลังสินค้าให้เช่า การให้บริการ One-stop service และบริการหลังการขาย ส่งผลให้ลูกค้าประทับใจและมีการบอกต่อหรือแนะนำลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัท สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ต.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top