นายกฯ มอบหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงส่งผลกระทบภาคขนส่ง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบภาคขนส่งและโลจิสิกส์ไทย หลังราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นมาระยะหนึ่ง จากเศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งเศรษฐกิจและภาคการผลิตไทยเริ่มฟื้นตัว ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการรถบรรทุกเพิ่มสูงขึ้น โดยผู้ประกอบการขนส่งเรียกร้อง ดังนี้ 1. ขอให้รัฐบาลพิจารณาการนำน้ำมันปาล์มออกจากสัดส่วนการผสมของน้ำมันดีเซล จากราคาปาล์มที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันและสูงกว่าน้ำมันดีเซล 2. ขอให้กระทรวงการคลัง พิจาณาลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันสูงถึงเกือบ 6 บาท ให้ลดลง 3 บาท เพื่อให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงเหลือลิตรละ 25 บาท

ล่าสุด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้รับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงานและผู้แทนสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะนำผลการหารือในวันนี้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีและนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ต่อไป

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์พลังงานมาโดยตลอดและเข้าใจความเดือดร้อนของผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์ เนื่องจากราคาน้ำมันเป็นต้นทุนสำคัญผู้ประกอบการ ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้พยายามช่วยเหลือ มอบหมายให้สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน โดยกองทุนน้ำมันได้ตรึงราคากลุ่มราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาภาระผู้ประกอบการในเบื้องต้น

ซึ่งหลังจากนี้ กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง จะศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องราคาน้ำมันทั้งระบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงราคาพลังงานโลก ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังสามารถจัดเก็บรายได้ เพื่อนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและพลังงานรูปแบบอื่นๆ เพื่อสนับสนุนให้ภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ไทยมีต้นทุนที่ต่ำลง แข่งขันได้ รวมทั้งสามารถขยายตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจและภาคการผลิตไทยที่กลับการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย

สำหรับโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.ราคาหน้าโรงงาน ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ 2.ภาษีสรรพสามิตที่อัตราประมาณ 0.975 ถึง 6.5 บาทต่อลิตร ขึ้นกับประเภทน้ำมัน ซึ่งจัดเก็บบนหลักการด้านสิ่งแวดล้อม 3.ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่นที่ 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นรายได้ท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะแก่ประชาชนในพื้นที่ 4.ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ซึ่งเป็นการจัดเก็บสินค้าเกือบทุกประเภท 5.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่จัดเก็บประมาณ-17.6143 ถึง 6.58 บาทต่อลิตร ขึ้นกับประเภทน้ำมัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ และ 6.ค่าการตลาดซึ่งเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 พ.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top