NOBLE จ่อเปิด 18 โครงการใหม่กว่า 4.74 หมื่นลบ.ปี 65-ออกหุ้นกู้ 1.5 พันลบ.

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 65 มองว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากปีนี้ หากไม่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ โดยปัจจัยบวกยังคงเป็นการคลี่คลายของโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อ Sentiment ของประชาชนในประเทศ ประกอบกับ ภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดมากขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการ LTV ไปถึงสิ้นปี 65 ด้วย

ในปี 65 บริษัทได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการฟื้นตัวของตลาด ด้วยการเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่รวมจำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4.74 หมื่นล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาจากปี 64 ซึ่งบริษัทได้วางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบรวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและคลอบคลุมในหลายทำเลมากขึ้น

อีกทั้งการพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้นเนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง โดยคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเกือบ 50% ตามสัดส่วนการลงทุนของ NOBLE โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการในทำเลที่กระจายตัวมากขึ้น เช่น ในทำเลถนนดอนเมือง ถนนราชพฤกษ์ ถนนเอกมัย-รามอินทรา ถนนกรุงเทพกรีฑา และในทำเลที่ใกล้เมกาบางนา เป็นต้น และในช่วงต้นปี 65 บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ มูลค่า 1.5 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 64 สิ้นสุด ณ 30 ก.ย. 64 มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,792 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 936 ล้านบาท ลดลง 22% และ 24% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 3/64 บริษัทฯมีรายได้อยู่ที่ 877 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท ลดลง 74% และ 71% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) โดยสาเหตุที่ผลการดำเนินงานที่ลดลง เป็นการสะท้อนถึงการได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในช่วงไตรมาส 3/64 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลต่อ Sentiment ของผู้บริโภค

ด้านยอดขาย (Pre-sales) สะสมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 5,525 ล้านบาท โดยกว่า 3,400 ล้านบาทมาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอีกกว่า 2,100 ล้านบาทมาจากยอดการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการคือ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ และโครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และโครงการนิว โนเบิล อื่นๆที่ทยอยเปิดตัวไปก่อนหน้านี้

สำหรับในช่วงโค้งสุดท้ายของ 64 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการภายในไตรมาส 4/64 คือ โครงการนิว คอนเนค เฮ้าส์ ดอนเมือง มูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบประกอบด้วยสินค้าประเภทบ้านแฝดและทาวน์โฮม ตั้งอยู่ในทำเลใกล้สนามบินดอนเมือง สามารถเข้าออกได้ทั้งถนนวิภาวดีรังสิตและถนนพหลโยธิน ในระดับราคาขายที่ 5-8 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเนื่องจากเป็นโครงการประเภทแนวราบซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดปัจจุบันและด้วยทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพของโครงการ

พร้อมทั้งยังเร่งการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่มีอยู่ในมืออีกกว่า 3,500 ล้านบาท สอดรับกับภาพรวมตลาดในช่วงไตรมาส 4/64 จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้เศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศไทยฟื้นตัว รวมถึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขี้นและจะเป็นผลดีต่อ Sentiment ของผู้บริโภค

“ปี 64 บริษัทได้มีการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และ โครงการนิว คอนเนค เฮ้าส์ ดอนเมือง คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 6,900 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าแผนที่วางไว้จากเดิม 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 45,100 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้มีการปรับเป้ายอดขายปีนี้เป็น 7,700 ล้านบาท”

นายธงชัย กล่าว

ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100% จากเดิม 70-90% สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 64 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 65 ว่าจะเป็นการช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยได้เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการหนุนกำลังซื้อในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ทางตรง และจะเป็นอีกปัจจัยที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปี 64

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top