บลจ.ไทยพาณิชย์ มองบวกตลาดหุ้นสหรัฐโตกว่าก่อนเกิดโควิด-จับตาโอมิครอน

นายอาชวิณ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐขยายตัวอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 จากภาพเศรษฐกิจโดยรวม และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง

โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญ 4 ปัจจัยหลัก คือ 1) จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพิ่มเติมวงเงินรวมกันกว่า 2.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ 2) การบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มเร่งตัวจากปริมาณเงินออมที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนับตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา

3) การกระจายวัคซีนที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ จะสามารถป้องกันความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด รวมถึงเชื้อกลายพันธ์ได้ดี ขณะที่บริษัทผลิตวัคซีนในสหรัฐมีโอกาสพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงยาต้านไวรัสได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ และ 4) ความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนิติบุคคลก็หายไป ภายหลังข้อเสนอการปฏิรูปภาษีที่มีเพียง Foreign Tax และการพิจารณาเก็บภาษีจากคนรวยแทน ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐมีการคาดการณ์กำไรที่ดีขึ้นในปี 65

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาได้แก่ การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนที่กลับมาเป็นความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนอีกครั้ง ซึ่งอาจเกิดการระบาดเป็นวงกว้างอาจทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น และทำให้รัฐบาลอาจกลับมาเข้มงวดอีกครั้ง รวมถึงการที่อัตราเฟ้อเงินที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง และตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เฟดประกาศเร่งลดสภาพคล่อง (QE Taper) เร็วกว่าเดิม และส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้ากว่า 3 ครั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงขึ้นได้

นายอาชวิณ กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นสหรัฐฯ จำนวน 3 กองทุนรวมมูลค่ากว่า 178 ล้านบาท โดยจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนพร้อมกันในวันที่ 24 ธ.ค.64 นี้ ประกอบด้วย งวด 1 ธ.ค.63-30 พ.ย.64 ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (ชนิดเพื่อการออม) – SCBS&P500-SSF จ่าย 0.5121 บาท/หน่วย โดยจ่ายระหว่างกาลแล้วเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.64 จำนวน 0.2401 บาท เหลือจ่ายงวดนี้ 0.2720 บาท (ครั้งที่ 2) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส – SCBS&P500 จ่าย 1.2498 บาท/หน่วย จ่ายระหว่างกาลแล้วเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 64 จำนวน 0.3613 บาท เหลือจ่ายงวดนี้ 0.8885 บาท (ครั้งที่ 17) รวมจ่ายปันผล 5.2809 บาท/หน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 55) โดยทั้ง 2 กองทุนเน้นลงทุนใน iShares Core S&P 500 ETF บริหารโดย BlackRock Fund Advisors ซึ่งมีการบริหารจัดการแบบ passive มีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี S&P500 และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90

ส่วนอีก 1 กองทุน งวดวันที่ 1 มิ.ย.64-30 พ.ย.64 ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ – SCBBLN จ่าย 0.1831 บาทต่อหน่วย (ครั้งที่ 11) รวมจ่ายปันผลแล้ว 2.7108 บาท/หน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 24 ก.ค.58) นอกจากนี้ กองทุนยังจัดเป็นกองทุน 4 ดาว ประเภท Thailand Fund US Equity ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย.64) มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ซึ่งเน้นกระจายลงทุนในหุ้นเติบโตขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี Solactive US Top Billionaire Investors

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ธ.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top