แนวโน้มหุ้นไทยเช้านี้ลุ้นรีบาวด์ตามตปท. ขานรับถ้อยแถลงปธ.เฟด-ราคาน้ำมันพุ่ง

นักวิเคราะห์ฯเล็งตลาดหุ้นไทยเช้านี้ลุ้นรีบาวด์ตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดภูมิภาคเช้านี้แกว่งบวกเฉลี่ยราว 1% ตามดาวโจนส์ที่ขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ขานรับถ้อยแถลงประธานเฟดที่จะยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป-ราคาน้ำมันขึ้นทำนิวไฮในรอบ 13 เดือน-เล็ง FDA สหรัฐอนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ของ”จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” ส่งผลให้นักลงทุนมั่นใจการฟื้นตัวเศรษฐกิจได้มากขึ้น แต่บ้านเราอาจฟื้นตัวได้จำกัด เหตุจะหยุดยาว 3 วันซ้อน-MSCI จะปรับลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยวันนี้ อาจทำให้หุ้นขนาดใหญ่ผันผวนได้  พร้อมให้แนวรับ 1,485 แนวต้าน 1,505-1,510 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างเคลื่อนไหวในแดนบวกกันทั่วหน้าเฉลี่ยราว 1% เช่นเดียวกับดาวโจนส์ที่ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ขานรับถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป และราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นทำนิวไฮในรอบ 13 เดือน ประกอบกับมีรายงานของเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ระบุว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย และเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉิน ซึ่งทำให้นักลงทุนมั่นใจการฟื้นตัวเศรษฐกิจได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี ตลาดบ้านเราอาจฟื้นตัวได้จำกัดเนื่องจากตลาดจะปิดทำการ 3 วันติดต่อกัน และวันนี้ MSCI ก็จะปรับลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยด้วย ซึ่งอาจทำให้หุ้นขนาดใหญ่ผันผวนได้

พร้อมให้แนวรับ 1,485 จุด ส่วนแนวต้าน 1,505-1,510 จุด

  • ประเด็นพิจารณาการลงทุน

    – ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 ก.พ.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,961.86 จุด พุ่งขึ้น 424.51 จุด (+1.35%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,925.43 จุด เพิ่มขึ้น 44.06 จุด (+1.14%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,597.97 จุด เพิ่มขึ้น 132.77 จุด (+0.99%)

    – ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 31.46 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 405.57 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 455.98 จุด

    – ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 ก.พ.)1,491.11 จุด ลดลง 9.50 จุด (-0.63%)

    – นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,535.77 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 64

    – ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 ก.พ.) ปิดที่ 63.22 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.55 ดอลลาร์ หรือ 2.5%

    – ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 ก.พ.) อยู่ที่ 3.01 ดอลลาร์/บาร์เรล

    – เงินบาทเปิด 30.02 คาดธุรกรรมเบาบางช่วงวันหยุด รอดู Flow ช่วงสิ้นเดือน-ตัวเลข GDP สหรัฐ

    – ททท.เปิดผลสำรวจพบนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ยินดีฉีดวัคซีนก่อนเที่ยวต่างประเทศ ขอเลือกไปประเทศที่ผู้ติดเชื้อโควิดต่ำ ขณะที่ฝรั่งเศสค้นหาแหล่งท่องเที่ยวกรุงเทพฯ อเมริกาต้องการความปลอดภัยและไม่ถูกกักตัวสำหรับบริษัททัวร์และสายการบิน ขอให้รัฐบาลไทยให้ความชัดเจนเงื่อนไขเข้าประเทศ

    – สศค.ประเมินเศรษฐกิจไทยยังส่งสัญญาณชะลอตัว เหตุโควิดระบาดระลอกใหม่ส่งผลกระทบการบริโภคเอกชน จับตาแผนกระจายวัคซีนดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเป้า 5 ล้านคน ส่งท้ายปี ขณะที่ผลสำรวจวันมาฆบูชาคาดเงินสะพัด 2,357.03 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 6 ปี

    – พลังงานลุยแผนลงทุนอีอีซี ดันโครงการปิโตรเคมีระยะที่ 4 คาดผลศึกษาแล้วเสร็จกลางปี 64 ด้าน ปตท.สผ.ปลื้มผลสำรวจแหล่งก๊าซโดกง-1 นอกชายฝั่งมาเลเซีย พบชั้นหินกักเก็บก๊าซหนากว่า 80 เมตร GPSC ผนึก OR ติดตั้ง G-Box นำร่องพัฒนาปั๊มชาร์จอีวี

    – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่งดจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดงบการเงินปี 63 พบว่ามี 38 บริษัทที่งดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีรวมกัน 136,860 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 31 บริษัท รองลงมาเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ จำนวน 7 บริษัท ขณะที่ บริษัทในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม สื่อและสิ่งพิมพ์ มีมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยวและสันทนาการ

 

  • หุ้นเด่นวันนี้
    – IVL (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 45 บาท แจ้งกำไร Q4/63 ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 245%qoq และพลิกจากขาดทุนสุทธิ 1,516 ล้านบาทใน Q4/62, ราคาฝ้ายทำ New high ในรอบ 2 ปีครึ่งส่งผลบวกต่อโพลีอิสเตอร์ของ IVL ซึ่งเป็นสินค้าทดแทน

    – EASTW (คันทรี่ กรุ๊ป) “ซื้อ”เป้า 12 บาท กำไรสุทธิ Q4/63 อยู่ที่ 158 ล้านบาท (-23%YoY, +12%QoQ) โดยกำไรฟื้นจากจุดต่ำสุดใน Q3/63 ตามปริมาณขายน้ำดิบเพิ่ม 14%QoQ มาที่ 59 ล้าน ลบ.ม.กำไรที่ลดลง YoY จาก ปริมาณขายน้ำลดลง 16%YoY อัตรากำไรขั้นต้นฟื้นจากระดับต่ำสุดใน Q3/63 มาที่ 37.6% ใน Q4/63 ตามปริมาณขายฟื้น ด้านกำไรสุทธิปี 63 ที่ 764 ล้านบาท (-27%YoY) กดดันจากปริมาณขายน้ำดิบลด 19% คาด Q1/64 ฟื้นดี QoQ จากอุปสงค์ใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัว โดยเดือน ม.ค. ปริมาณขายน้ำดิบ อยู่ที่ 24 ล้าน ลบ.ม.(+10%MoM +3%YoY) สูงที่สุดในรอบ 13 ไตรมาส

    – MAKRO (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 50 บาท แนวโน้มกำไร Q1/64 คาดยังมีโมเมนตัมดีต่อเนื่องจาก Q4/63 ที่ออกมาดีกว่าคาด +36% Q-Q, +3% Y-Y โดยได้อานิสงส์ทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภาครัฐ ด้านราคาหุ้นปรับตัวลง 9% YTD Laggard กลุ่มค้าปลีกที่ +4% YTD ขณะที่กำไรแข็งแกร่งกว่าผู้เล่นรายอื่นในกลุ่ม Modern Trade อย่าง BJC และร้านสะดวกซื้ออย่าง CPALL
Tags: , , , ,
Back to Top