หุ้นไทยเช้านี้แนวโน้มแกว่งไซด์เวย์แคบคล้ายภูมิภาคหลังไร้ปัจจัยใหม่

นักวิเคราะห์ฯเล็งตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบคล้ายตลาดภูมิภาค ไร้ปัจจัยชี้นำใหม่ ขณะที่สหรัฐฯยังกังวล Bond yield และต้องติดตามความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการประชุมเฟด 16-17 มี.ค.นี้ด้วย ส่วนกลุ่มโอเปกพลัสประชุม 3-4 มี.ค.ตลาดฯคาดเพิ่มกำลังการผลิต 1.3-1.5 ล้านบาร์เรล/วันกระทบราคาน้ำมันย่อลงหวั่นฉุดกลุ่มพลังงานช่วงสั้น ให้แนวรับ 1,500-1,495 แนวต้าน 1,510-1,517 จุด

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยชี้นำใหม่เข้ามา ขณะเดียวกันตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ขณะที่ตลาดยุโรปบวกสวนทางตลาดสหรัฐฯติดลบ โดยฝั่งสหรัฐยังกังวลอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐฯแม้ว่าจะลงมาเหลือ 1.4% จากก่อนหน้านี้แกว่งแถว 1.5-1.6% และยังต้องติดตามความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯต่อไปด้วย รวมถึงติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 16-17 มี.ค.นี้

ส่วนวันนี้ให้ติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสที่จะมีขึ้นในวันที่ 3-4 มี.ค.นี้ จับตาเรื่องกำลังการผลิตน้ำมัน เนื่องจากตลาดคาดว่าจะมีการปรับเพิ่ม 1.3-1.5 ล้านบาร์เรล/วัน จะส่งผลให้ราคาน้ำมันย่อตัวลงและไปฉุดหุ้นในกลุ่มพลังงานในระยะสั้น อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงจะเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวได้ หลังจากที่ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/63 ของบริษัทจดทะเบียนออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่ ทำให้คงจะมีการทยอยปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนกันในช่วง 1-2 สัปดาห์จากนี้

พร้อมให้แนวับ 1,500-1,495 จุด ส่วนแนวต้าน 1,510-1,517 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 มี.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,391.52 จุด ลดลง 143.99 จุด (-0.46%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,870.29 จุด ลดลง 31.53 จุด (-0.81%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,358.79 จุด ลดลง 230.04 จุด (-1.69%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 8.43 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 73.95 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 153.57 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 มี.ค.)1,503.36 จุด เพิ่มขึ้น 2.44 จุด (+0.16%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 503.71 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 มี.ค.64
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 มี.ค.) ปิดที่ 59.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.5%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 มี.ค.) อยู่ที่ 2.54 ดอลลาร์/บาร์เร
  • เงินบาทเปิด 30.25 แข็งค่าจากวานนี้หลังดอลล์กลับมาอ่อนค่า จับตาเงินทุนเคลื่อนย้าย
  • โบรกเกอร์เตรียมปรับเพิ่มเป้ากำไรบจ.ปี 64 หลังไตรมาส 4 ปี 63 ออกมาดีกว่าคาด รับผลดีเศรษฐกิจฟื้นตัวเปิดประเทศ “เอเซีย พลัส” คาดสูงกว่า 7.5 แสนล้าน จากเดิมที่ 7.1 แสนล้าน “ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี” เล็งปรับเพิ่มกำไรขึ้น 5-10% จากเดิมคาดที่ 7.31 แสนล้านบาท ด้านกสิกรไทยชี้มีโอกาสเพิ่มเป้ากำไร บจ.ปีนี้ จากที่คาด 7.7 แสนล้าน
  • “บินไทย”ยื่นแผนฟื้นฟูทันตามเส้นตาย 2 มี.ค. จำนวน 303 หน้า เน้นลดค่าบริหารจัดการ ลดพนักงาน 50% เล็งหาเงินอีก 5 หมื่นล้านเพื่อสภาพคล่อง เตรียมหารือเจ้าหนี้ 12 พ.ค. ‘ชาญศิลป์’ ลุ้นทุกฝ่ายเห็นชอบ ก.ค.นี้
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า ปรับเพิ่มขึ้นจาก 44.2 จากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 45.6 หรือเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ ทั้งในเรื่องคำสั่งซื้อ ต้นทุน การลงทุน การจ้างงาน การผลิต ผลประกอบการ ซึ่งสิ่งต่างๆ ล้วนมาจากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มผลิตยานยนต์ที่ความเชื่อมั่นลดลงมาจากมีคำสั่งซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศชะลอลง
  • นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเตรียมประกาศแนวทางการบริหารเศรษฐกิจหลังผ่านการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปลายเดือน มี.ค.นี้ โดยในแผนจะมีทั้งเรื่องของการปรับโครงสร้างหลายอย่าง เช่น โครงสร้างทางภาษี กฎระเบียบ รวมทั้งการปรับปรุงแนวทางการอำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายของประเทศไทย และสามารถแข่งขันกับประเทศกับอื่นที่พยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มากยิ่งขึ้น

หุ้นเด่นวันนี้

  • AOT (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 77 บาท ได้ Sentiment บวกจากข่าวภาครัฐเตรียมจัดทำ Vaccine passport เพื่อเป็นไปเบิกทางสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศส่งผลบวกโดยตรงต่อ AOT ซึ่งเป็นด่านแรกในการเดินทางเข้าประเทศไทย
  • TACC (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อเก็งกำไร”เป้า Bloomberg Consensus 9.25 บาท กำไรสุทธิปี 63 อยู่ที่ 188.38 ลบ.(+18.34%YoY) แม้รายได้จะถูกกดดันจากโควิด แต่ชดเชยด้วยการเน้นขายสินค้า GPM สูงกว่าเดิม ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานยังดีต่อเนื่องจากการขยายเข้า 7-11(All Cafe) มีโอกาสขยายไปยังลาว/กัมพูชา และ Lotus’s go fresh นอกจากนี้ร่วมมือกับ บ.ไทยคานาเทค อินโนเวชั่น และม.เทคโนโลยีราชมงคลพระนครร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชง คาดชัดเจน 2H/64 ตลาดคาดกำไรสุทธิปี 64 และ ปี65 ที่ 236 ลบ.+25.28%YoY และ 264 ลบ.+11.86%YoY
  • HMPRO (เอเชีย เวลท์) “ซื้อ”เป้า 16.50 บาท คาดกำไรสุทธิปี 64 จะมีการฟื้นตัว 15%YoY จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัว ทั้งนี้บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 0.20 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 22 เม.ย. 64 และจ่ายเงินปันผล 6 พ.ค. 64

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (3 มี.ค. 64)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top