หุ้นไทยเช้านี้แนวโน้มปรับขึ้นตามภูมิภาคหลังเฟดยังไม่รีบขึ้นดบ.-เดินหน้าทำ QE

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับขึ้นเช่นเดียวกับตลาดภูมิภาคที่เช้านี้แกว่งบวกกัน ขานรับผลประชุมเฟดที่ไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย-เดินหน้าทำ QE-ปรับคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจขึ้น แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจดีขึ้น-กำไรบริษํทก็จะดีด้วย เล็งกลุ่มแบงก์-พลังงานได้ประโยชน์ แต่มองอาจขึ้นแค่ชั่วคราวหลังยังวิตกเงินเฟ้อจะสูงขึ้น-Bond yield จะขึ้นไปด้วย ทำให้กระทบการลงทุนหุ้น จึงเป็นความเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้า แต่ตลาดบ้านเรายังมีประเด็นกัญชงหนุนให้ไปต่อได้ พร้อมให้แนวรับ 1,560-1,550 แนวต้าน 1,580-1,585 จุด

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวกกันทั่วหน้า ขานรับผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ให้คำตอบตามที่นักลงทุนอยากจะได้ ทั้งเรื่องการยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปี 2566 และยังเดินหน้าทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป รวมถึงมีการปรับอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสูงขึ้น ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และกำไรของบริษัทก็จะดีไปด้วย หุ้นที่จะได้รับประโยชน์เป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน ส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีอาจจไม่ได้

อย่างไรก็ดี การที่เฟดมองแบบนี้แสดงให้เห็นว่าอาจจะมีเงินเฟ้อสูงขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ก็จะสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งก็จะกระทบการลงทุนในหุ้น จึงเป็นความเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้า ดังนั้นการปรับขึ้นของตลาดฯอาจจะเป็นแค่ชั่วคราว อย่างไรก็ดี ตลาดบ้านเรายังมีประเด็นกัญชงที่ทำให้ตลาดฯพอจะไปได้ ทั้งนี้ ให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันนี้

พร้อมให้แนวรับ 1,560-1,550 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580-1,585 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (17 มี.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,015.37 จุด เพิ่มขึ้น 189.42 จุด (+0.58%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,974.12 จุด เพิ่มขึ้น 11.41 จุด (+ 0.29%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,525.20 จุด เพิ่มขึ้น 53.63 จุด (+0.40%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 4.09 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 234.15 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 283.49 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (17 มี.ค.)1,566.76 จุด เพิ่มขึ้น 2.73 จุด (+0.17%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,348.23 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 มี.ค.64
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (17 มี.ค.) ปิด 64.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.3%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (17 มี.ค.) อยู่ที่ 2.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 30.68 แข็งค่าเกาะกลุ่มค่าเงินในตลาดโลก หลังเฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย
  • ขุนคลัง เผยเตรียมผุดโครงการ “เราผูกพัน” เยียวยาข้าราชการผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวนกว่า 1 ล้านคน แย้มอาจต่อ “คนละครึ่ง 3” พร้อมคาดหวังจีดีพี ปี 64 จะโตได้ 4% แม้ไอเอ็มเอฟ ประเมินไว้แค่ 2.6%
  • “อาคม” แจงไอเอ็มเอฟเคาะจีดีพีไทยปี 2564 โตได้ 2.6% แต่รับยังฝันแบบทะเยอทะยานดันจีดีพีปี 2564 โตพรวด 4% พร้อมยก “คนละครึ่ง” เจ๋งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ด้านฟิทช์ เรทติ้งส์ ย้ำเศรษฐกิจไทยยังโตช้า เชื่อปีนี้ทำได้แค่ 3.7%
  • นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ภายหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข (สธ.) ประกาศเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประมาณไตรมาส 4 ของปีนี้ ททท.ยืนยันว่าสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้าไทยได้เดือนละ 2 ล้านกว่าคน หรือ 3 เดือนสุดท้าย (ต.ค.-ธ.ค.2564) จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยประมาณรวม 6.5 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 8.5 แสนล้านบาท
  • นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันทางธุรกิจมีผลบังคับใช้วันที่ 4 ก.ค.2559-15 มี.ค.ที่ผ่านมา มีผู้นำทรัพย์สินที่ใช้ในการทำธุรกิจหรือสังหาริมทรัพย์ มายื่นคำขอจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ หรือเป็นหลักประกันขอกู้เงินจากสถาบันการเงินรวม 588,791 คำขอ มูลค่า 9.395 ล้านล้านบาท สะท้อนถึงความสำเร็จตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่ต้องการให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากขึ้น โดยนำทรัพย์สินที่ใช้ประกอบธุรกิจมาเป็นหลักประกันการชำระหนี้ จากเดิมที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถนำทรัพย์สินอื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ ที่มีทะเบียนบางประเภทมาใช้เป็นหลักประกัน
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย(บอนด์ยีลด์ไทย)ทยอยปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2564 ตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ โดยในส่วนของบอนด์ยีลด์ไทยอายุ 10 ปีปรับสูงขึ้นแตะจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 2.05% สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562 (สูงสุดในรอบ 2 ปี 8 เดือน) ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า บอนด์ยีลด์ไทยอายุ 10 ปียังมีโอกาสทรงตัวอยู่ในกรอบสูงต่อเนื่องเหนือระดับ 2.00% ในช่วงที่เหลือของปี 2564 และอาจทยอยสูงขึ้นอีกในปีหน้า มองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ไทยในจังหวะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยยังไม่ฟื้นตัวกลับมาอย่างเต็มที่ อาจมีผลกระทบต่อต้นทุนการระดมทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้เกิดภาระดอกเบี้ยเพิ่มประมาณ 9,050-10,800 ล้านบาท

หุ้นเด่นวันนี้

  • KBANK (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 162 บาท คาดกำไรกลับมาฟื้นตัวเด่นในปีนี้ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนอกจากนี้ค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายจากการตั้งสำรองหนี้สูญมีแนวโน้มลดลงหลังจากเร่งตั้งเผื่อไว้แล้วในปีที่ผ่านมา
  • SCGP (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 48 บาท ประเมินอุตสาหกรรม Package เติบโตทุกหมวดหมู่สินค้า บริษัทเดินหน้าทำ M&A ต่อเนื่องขยายกำลังการผลิตและฐานลูกค้า ด้านลูกค้าในอุตสาหกรรม E-Commerce, อาหาร-เครื่องดื่ม ยังคงเติบโตต่อเนื่องรับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว เป็นบวกต่อรายได้ของ SCGP พร้อมประเมินกำไรสุทธิ ปี 2564-2565 ที่ 7.9 พันลบ. และ 9 พันลบ. +23%YoY, 14%YoY ตามลำดับ
  • PTTGC (คันทรี่ กรุ๊ป) “ซื้อ”เป้า 75 บาท คาดกำไรหลักใน Q1/64 จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากการฟื้นตัวของ spread ปิโตรเคมี และกำลังการผลิตใหม่ ขณะที่บริษัทจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top