สธ.ทยอยรับผู้ติดเชื้อโควิดเข้ารับการรักษาเริ่มวันนี้หลังตกค้างกว่า 2 พันราย

นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงผู้ป่วยโควิด-19 ที่ตกค้างอยู่ว่า จากข้อมูลที่มาจากการตรวจเชื้อซึ่งเป็นผลแล็บจากสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) ซึ่งเอกชน คลีนิกต้องส่งข้อมูลมาให้ และข้อมูลจากสายด่วน 1668 และสายด่วน 1330 ที่ประชาชนได้โทรแจ้งเข้ามา โดยวานนี้มีตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในระบบที่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าได้นอนรพ.แล้ว 2,554 คน จึงได้ประชุมและเกิดการจัดการว่า วันนี้จะนำผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เข้าสู่รพ.ให้มากที่สุด

โดยได้มีแผนปฏิบัติการในวันที่ 24-26 เม.ย.64 โดยจะโทรหาผู้ติดเชื้อทุกราย แจ้งให้ไปจุดคัดกรอง ให้ข้อมูลขั้นตอนการปฏิบัติ นัดหมายการรับส่งจากจุดคัดกรอง เป็นผู้ป่วยสีเขียว สีเหลืองและสีแดง และรับเข้าสู่สถานพยาบาลที่กำหนด ซึ่งวันนี้ได้เข้ารพ.หลายร้อยคนแล้ว แต่หากยังไม่มีใครติดต่อกลับภายใน 26 เม.ย.ขอให้ติดต่อที่ 1668 เพื่อให้ข้อมูลอีกครั้ง

ในจำนวนผู้ป่วย 2,554 คน แบ่งเป็นกลุ่มดังนี้

  • รพ.มหาวิทยาลัย 367 ราย
  • กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค สปสช.มีจำนวน 1,239 ราย
  • รพ.เอกชน 596 ราย
  • กรุงเทพมหานคร 352 ราย

ทั้งนี้ผู้ป่วยได้รับการนอนรพ.แล้ว 1,039 ราย รอเข้านอน รพ. 814 ราย โดยครึ่งหนึ่งได้นัดเข้านอน รพ.วันนี้หรือพรุ่งนี้ ส่วนอีกครึ่งจะต้องเข้าจุดคัดกรองก่อนเข้านอน รพ. ปฏิเสธ 80 ราย ติดต่อไม่ได้ 116 ราย และอื่นๆ 505 ราย เช่น กักตัวครบ 14 วันแล้ว ดังนั้น สรุปในวันนี้มีผู้ป่วยที่ผ่านการคัดกรองเข้านอนรพ.แล้ว ประมาณ 400 ราย อีก 400 รายจะเข้านอนรพ.ตามที่นัดหมาย

“ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงจากที่ 3-4 วันที่บอกว่าไม่มีเตียงนั้นวันนี้จะได้รับการติดต่อเข้าสู่รพ.ทั้งหมด แต่รายไหนที่เพิ่งมีผลบวกวันนี้ก็รอแต่ก็ได้เน้นย้ำทุกรพ.ได้เชิญผู้ป่วยเข้าสู่รพ.ตามนโยบายของรัฐว่าทุกรายต้องได้รับการรักษา”

โดยในระหว่างที่รออยู่ที่บ้านก็ขอให้ปฏิบัติตามมาตรฐานของก.สาธารณสุข ใส่ Mask ล้างมือ เว้นรักษาระยะห่าง ไม่ควรที่ออกไปชุมชน

นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวว่า ในกรุงเทพมหานคร การจัดการให้ผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษานั้นมีหลายหน่วยงาน ภาคเอกชนที่มีรพ.หลายแห่ง ภาครัฐก็ช่วยกันดูแลผู้ป่วย ขอให้มั่นใจว่าผู้ที่มีผลติดเชื้อจะได้รับเข้ารับการรักษา ไม่แนะนำให้อยู่บ้าน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 เม.ย. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top