แบงก์ชาติทั่วโลกเตรียมขึ้นดอกเบี้ย หลังจับสัญญาณเฟดคุมเข้มนโยบายการเงิน

ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกได้เริ่มเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในที่สุด หลังจากที่ได้ใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษ โดยได้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ตลาดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐให้ฟื้นตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ธนาคารกลางแคนาดานับเป็นธนาคารกลางแห่งแรกในกลุ่มประเทศ G7 ที่ได้ประกาศถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งสัญญาณในเดือนเม.ย.ว่าธนาคารจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 ส่วนธนาคารกลางนอร์เวย์ได้ประกาศแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้

ทางด้านธนาคารกลางนิวซีแลนด์และเกาหลีใต้ได้ส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินเช่นกัน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น

แม้แต่ธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งได้ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษมานานหลายทศวรรษ ก็ได้เปิดช่องสำหรับการเริ่มถอนตัวจากการใช้นโยบายดังกล่าว

นอกจากนี้ ธนาคารกลางรัสเซีย, บราซิล, กานา และอาร์เมเนีย ก็ได้เริ่มวงจรคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อรับมือกับแรงกดดันของเงินเฟ้อในประเทศ

หากเฟดมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินด้วยการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็จะส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลกลับไปยังสหรัฐ และกระทบอย่างหนักต่อตลาดเกิดใหม่ดังที่เคยเกิดขึ้นในปี 2541 และ 2556

ธนาคารกลางอินโดนีเซียแสดงความกังวลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากอินโดนีเซียต้องพึ่งพากระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก

“เราต้องเตรียมรับมือความเป็นไปได้ที่เฟดจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในปีหน้า โดยเฟดอาจลดการอัดฉีดเงินในตลาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอินโดนีเซีย” ธนาคารกลางอินโดนีเซียระบุ

ธนาคารกลางแอฟริกาใต้ระบุว่า แม้เฟดเคยเปิดเผยว่าจะเปิดทางให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ปัญหาคือเฟดไม่เคยบอกว่าจะยอมรับให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมากเพียงใด ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ขณะเดียวกัน ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในการประชุมสัปดาห์หน้า แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเกินคาดเมื่อวานนี้

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยระบุว่า ดัชนี CPI ดีดตัวขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 5.0% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% หลังจากเพิ่มขึ้น 4.2% ในเดือนเม.ย.

นอกจากนี้ หากไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนี CPI พื้นฐานพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พื้นฐานพุ่งขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 29 ปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 3.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 3.0% ในเดือนเม.ย.

นักวิเคราะห์ระบุว่าตัวเลขเงินเฟ้อถูกบิดเบือนจากการเปรียบเทียบกับตัวเลขฐานที่ต่ำผิดปกติในปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นราคาสินค้าได้ทรุดตัวลง โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และจากการประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในเดือนพ.ค.ยังมีสาเหตุจากราคารถยนต์มือสองและรถบรรทุกที่ทะยานขึ้นมากกว่า 7% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการเพิ่มขึ้นราว 1 ใน 3 ของการดีดตัวขึ้นของเงินเฟ้อในเดือนพ.ค. โดยการเพิ่มขึ้นของราคารถยนต์มือสองมักเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงรักษาจุดยืนในการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมวันที่ 15-16 มิ.ย. โดยเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน

อย่างไรก็ดี คาดว่าเฟดจะเริ่มหารือกันเกี่ยวกับการปรับลดวงเงิน QE ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. และจะเริ่มดำเนินการปรับลด QE ในเดือนธ.ค.หรือต้นปีหน้า ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566

การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ จะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว เฟดต้องจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

ทั้งนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลเมื่อปีที่แล้ว โดยได้ประกาศการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งสำคัญ ซึ่งเฟดจะเปลี่ยนแปลงแนวทางในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ โดยจะเปิดทางให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจสหรัฐ

สำหรับในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ คาดว่านายพาวเวลจะส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐ หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาส่งสัญญาณให้ตลาดการเงินเตรียมตัวพร้อมรับการถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของเฟดก่อนหน้านี้

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มิ.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top