PEACE ปิดเช้าสูงกว่า IPO 48.24% ผู้บริหารวางเป้ารายได้โต 3 เท่าใน 5 ปี

PEACE ปิดตลาดภาคเช้าที่ 5.90 บาท เพิ่มขึ้น 48.24% หรือ 1.92 บาท จากราคา IPO 3.98 บาท มูลค่าซื้อขาย 864.33 ล้านบาท จากราคาเปิด 5.50 บาท ราคาสูงสุด 6.15 บาท ราคาต่ำสุด 5.45บาท

นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง (PEACE) เปิดเผยว่า บริษัทนำหุ้น PEACE เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาแนวราบที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน จะช่วยสนับสนุนให้ PEACE เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน

บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น โดยกำหนดเป้าหมายการเติบโตของรายได้เป็น 2 เท่าของปี 64 ภายใน 3 ปี (ปี 67) และเติบโตเป็น 3 เท่าภายใน 5 ปี (ปี 69) ด้วยการพิจารณาศักยภาพของทีมงานและบุคลากรของบริษัททั้งในปัจจุบันและแผนธุรกิจที่จะเพิ่มในอนาคต คำนวณมูลค่าบ้านคงเหลือขายสำหรับโครงการในปัจจุบัน และมูลค่าบ้านที่จะเปิดจำหน่ายเพิ่มเติมสำหรับโครงการในอนาคตที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ประกอบกับแผนการจัดซื้อที่ดินใหม่เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต พร้อมกันนี้ บริษัทมีเป้าหมายในการรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ที่ระดับ 35-40% เช่นเดียวกับช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาด้วย

“การตั้งเป้าหมายของเราอยู่บนพื้นฐานการประเมินตามข้อมูลการดำเนินงานและศักยภาพของบริษัทปัจจุบัน และผลการดำเนินงานในอดีต ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะเศรษฐกิจที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ตามความผันผวนของต้นทุนในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น ค่าแรง หรือราคาวัสดุก่อสร้าง รวมถึงสภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากศักยภาพในการบริหารงานที่ยาวนานกว่า 30 ปี และการที่ PEACE เป็นบริษัทอสังหาแนวราบขนาดกลาง นับว่ามีโอกาสในการเติบโตได้อีกมากในอนาคต”นายประสพศักดิ์ กล่าว

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 65 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 64 ผู้ประกอบการเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะโครงการแนวราบเพื่อดึงดูดผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และนักลงทุนที่มีกำลังซื้อพร้อม ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมากถึง 60% จากอดีตที่มีสัดส่วนเพียง 40% เชื่อว่าเทรนด์นี้ยังอยู่อีกระยะหนึ่ง

โดยเฉพาะโครงการแนวราบในพื้นที่รอยต่อเมือง เพราะรถไฟฟ้ามีการขยายตัวไปรอบนอกมากขึ้น ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดจากเรียลดีมานด์ที่มากขึ้น ถือเป็นการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคในยุค New Normal ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่รองรับการใช้ชีวิตและมีพื้นที่สีเขียวในการผ่อนคลาย มีพื้นที่ในการทำกิจกรรมภายในครอบครัว ซึ่งจะตอบสนองความต้องการของคนในครอบครัวได้หลากหลายรูปแบบทั้งการ Work from Home และการเรียนผ่านระบบออนไลน์ ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์การอยู่อาศัย ที่มีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อมากขึ้น นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐยังเป็นตัวช่วยสำคัญ และเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

PEACE มีความเชี่ยวชาญในตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบ บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,045 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดการขายตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ประกอบด้วย 1. Cherene กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 648 ล้านบาท 2. CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์-เจษฎาบดินทร์ เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,845 ล้านบาท และ 3. Cher ราชพฤกษ์-พระราม 5 เป็นทาวน์โฮม 2-3 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 552 ล้านบาท

บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพในทุกขั้นตอน ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อขาย แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมแบบ 2 ชั้น และ 3 ชั้น โดยจะเน้นพัฒนาในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เป็นหลัก และหากมีพื้นที่ในจังหวัดอื่นที่ทำเลมีศักยภาพ มีความต้องการซื้อเพียงพอ บริษัทก็พร้อมที่จะปรับกลยุทธ์การดำเนินงานไปยังทำเลที่มีศักยภาพต่อไปได้ [

ปัจจุบัน PEACE มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 7 โครงการ อาทิ The Glamor, Cordiz at Udomsuk, Cher งามวงส์วาน-ประชาชื่น และ Cher วัชรพล เป็นต้น มูลค่ารวมประมาณ 4,717 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ณ วันที่ 30 ก.ย.64 จำนวน 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง

บริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักสำรองต่างๆ ของบริษัทฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.พ. 65)

Tags: , , ,
Back to Top