หุ้นไทยปิดเช้าลบ 3.51 จุด แกว่งไซด์เวย์รับสถานการณ์ยูเครน-ติดเชื้อโควิดพุ่งกดดัน

SET ปิดเช้านี้ที่ระดับ 1,687.61 จุด ลดลง 3.51 จุด (-0.21%) มูลค่าการซื้อขายราว 47,629 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ตอบรับปัจจัยหลักสถานการณ์ตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครนหลังหลายชาติพันธมิตรสหรัฐคว่ำบาตรรัสเซียส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและค่าเงินรูเบิล รวมทั้งอาจกระทบนักท่องเที่ยวรัสเซียเข้าไทย นอกจากนั้นยอดผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศถีบตัวสูงขึ้นใกล้จุดสูงสุดในส.ค.64 แนวโน้มช่วงบ่ายแกว่งไซด์เวย์ต่อเนื่อง ให้แนวต้าน 1,699 จุด แนวรับ 1,680 และ 1,673 จุด

  • ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,687.61 จุด ลดลง 3.51 จุด (-0.21%) มูลค่าการซื้อขายราว 47,629 ล้านบาท
  • การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้ารีบาวด์ และเคลื่อนไหวมาในแดนลบ โดยทำระดับสูงสุด 1,700.35 จุด และระดับต่ำสุด 1,686.09 จุด

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ ตอบรับปัจจัยสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน หลังจากสหรัฐและชาติพันธมิตร เช่น อังกฤษ เยอรมัน ก็ออกมาคว่ำบาตรรัสเซีย ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจรัสเซีย และค่าเงินรูเบิลอ่อนค่ามาก โดยเมื่อปี 58 ค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าถึง 35% และนักท่องเที่ยวรัสเซียที่เข้าไทยลดดลง 45% ดังนั้นเหตุการณ์นี้ก็จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวไทยด้วย

นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลับมาพุ่งสูงขึ้นทะลุ 2 หมื่นรายมาที่ 21,232 ราย จากนิวไฮช่วงที่สายพันธุ์เดลตาระบาดที่ 23,418 รายเมื่อวันที่ 13 ส.ค.64 และวันนี้ยอดตรวจแบบ ATK มีอีก 16,890 ราย อีกทั้งเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ก็เริ่มแผ่ว

ช่วงบ่ายคาดยังแกว่งไซด์เวย์ พร้อมให้แนวต้านที่ 1,699 จุด แนวรับที่ 1,680 และ 1,673 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,035.91 ล้านบาท ปิดที่ 168.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,131.03 ล้านบาท ปิดที่ 38.50 บาท ลดลง 0.50 บาท

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,978.36 ล้านบาท ปิดที่ 4.92 บาท ลดลง 0.18 บาท

BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,309.80 ล้านบาท ปิดที่ 143.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท

JMT มูลค่าการซื้อขาย 1,159.69 ล้านบาท ปิดที่ 67.25 บาท เพิ่มขึ้น 3.25 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.พ. 65)

Tags: , ,
Back to Top