ท่าฉาง กรีนฯ คาดขาย IPO-เข้าเทรดกลางปีนี้ ก้าวสู่เป้ากำลังผลิต 200MW ปี 75

นายพงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (TGE) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 600 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 27.3% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ และน่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงกลางปีนี้ โดยอยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

บริษัทมีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ลงทุนก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

ทั้งนี้ TGE เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ได้แก่ โรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน นอกจากนั้น บริษัทยังมีนโยบายขยายการลงทุนไปยังโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และก๊าซชีวภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 200 MW ภายในปี 75

พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาขยายธุรกิจเพิ่มเติมไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตไฟฟ้า เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้จุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบัน TGE ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2 ประเภท ได้แก่ 1.โรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งมีการเปิดดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TGE, TPG และ TBP ในอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.7 เมกะวัตต์ (MW) และปริมาณไฟฟ้าเสนอขายกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาระยะยาวรวม 20.3 MW รับรู้รายได้รูปแบบ Feed-in Tariff (Fit) และจะได้รับ FiT Premium เป็นระยะเวลา 8 ปีแรกนับจากวัน COD

ทั้ง 3 โครงการเป็นโรงไฟฟ้าประเภท VSPP ที่ใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตแบบเผาไหม้โดยตรง (Direct Combustion) ด้วยการนำวัตถุดิบชีวมวลที่เป็นวัสดุเหลือใช้จากผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ ทะลายปาล์ม เส้นใยปาล์ม รากไม้สับ ต้นปาล์มสับ เป็นต้น มาเป็นเชื้อเพลิงป้อนเข้าสู่เตาเผา

2.โรงไฟฟ้าขยะชุมชน จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TES SKW จังหวัดสระแก้ว, โรงไฟฟ้า TES RBR จังหวัดราชบุรี และโรงไฟฟ้า TES CPN จังหวัดชุมพร ซึ่งได้รับเลือกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว และอยู่ระหว่างพัฒนา โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 22 MW และปริมาณไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญารวมประมาณ 16 MW คาดว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะออกระเบียบรับซื้อไฟฟ้าและทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในไตรมาส 1/65 และเริ่ม COD ได้ภายในปี 67 จะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเพิ่มเป็น 51.7 MW และมีปริมาณไฟฟ้าเสนอขายกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวม 36.3 MW

ขณะนี้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 29.7 MW และอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เพิ่มเติมอีก 22 MW ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งปี 65 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 49.7 MW

บริษัทยังเตรียมเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีก 4 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TES PRI จ.ปราจีนบุรี, โรงไฟฟ้า TES CNT จ.ชัยนาท, โรงไฟฟ้า TES UBN จ.อุบลราชธานี และโรงไฟฟ้า TES TCN จ.สมุทรสาคร คาดว่าหากได้รับคัดเลือกจาก อปท. ที่เกี่ยวข้องให้เป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการในปี 65 คาดว่าจะ COD ได้ในปี 69 และคาดว่ากำลังผลิตติดตั้งรวมของบริษัทในอีก 4 ปีข้างหน้าภายหลังทั้ง 4 โครงการเริ่มดำเนินการแล้ว จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็น 90 MW และคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากโรงไฟฟ้าขยะชุมชนเพิ่มเป็น 30-40% ของรายได้รวม

นายพงศ์นรินทร์ กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ โดยใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย 1. ความมีประสิทธิผลในด้านต้นทุน (Effectiveness) เนื่องจากโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้ง 3 โครงการของกลุ่มตั้งอยู่ในอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกปาล์มที่สำคัญของประเทศ ประกอบกับ บริษัทอยู่ในกลุ่มท่าฉางอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจโรงสกัดน้ำมันปาล์ม ซึ่งมี by product เป็นวัตถุดิบนำมาใช้ในโรงไฟฟ้าชีวมวล และรับซื้อวัตถุดิบชีวมวลจากชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่ ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (economy of scale) จากการจัดหาวัตถุดิบและต้นทุนค่าขนส่ง และสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงในการผลิต ทั้งนี้ การจัดหาชีวมวลในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าของบริษัท นอกจากจะทำให้ชุมชนและเกษตรกรมีรายได้และคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการลดมลภาวะและค่าใช้จ่ายในการกำจัดชีวมวล ควบคู่ไปกับการสร้างมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศอีกด้วย

โรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทฯ ทั้ง 3 โครงการ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันและใช้เทคโนโลยีการผลิตเดียวกัน กลุ่มบริษัทจึงสามารถบริหารจัดการต้นทุนในการเก็บสำรองชิ้นส่วน อุปกรณ์สำหรับโรงไฟฟ้า ทำให้มีความยืดหยุ่นและสร้างความได้เปรียบในด้านต้นทุนอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่ทำให้ท่าฉางมีความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการทำกำไรให้สูงขึ้น

2. ความมีประสิทธิภาพด้านการผลิตและบริหารจัดการ (Efficiency) บริษัทมีการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่ทันสมัย และได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้การผลิตไฟฟ้าเกิดประสิทธิภาพสูงด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทฯ สามารถรองรับเชื้อเพลิงได้หลากหลายชนิด เชื้อเพลิงที่มีความชื้นสูง 40-60% และเผาวัตถุดิบชีวมวลประเภททะลายปาล์มเปล่าได้ 100% ทำให้ต้นทุนต่ำกว่าโรงไฟฟ้าประเภทเดียวกัน

ขณะที่โรงไฟฟ้าขยะชุมชน บริษัทฯ นำเทคโนโลยีที่สามารถเผาขยะมูลฝอยที่มีความชื้นสูง และใช้กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากขยะแบบเผาตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคัดแยก ช่วยลดทั้งต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและลดการปล่อยของเสีย เข้าใกล้รูปแบบมลพิษเป็นศูนย์หรือ ‘Zero Waste’ อีกทั้งยังมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนผลิต รวมถึงนำกลยุทธ์การดำเนินงานและบริหารจัดการโครงการโรงไฟฟ้าสมัยใหม่มาใช้ เพื่อให้การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว และเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

3. ความมีประสบการณ์ด้านบุคลากรและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ (Experience) อย่างมีธรรมาภิบาล บริษัทฯ มีบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูงทั้งในการผลิตและการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยได้ประกาศใช้นโยบายด้านการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG: Environment, Social and Governance Policy) ซึ่งมีเป้าหมายมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน บูรณาการเข้ากับการสร้างค่านิยมองค์กรที่เรียกว่า “TGE” (เทคโนโลยีที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพสูง เน้นธรรมาภิบาลขององค์กร ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม) และนำมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติงานให้มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อสร้างความสมดุลในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของกิจกรรมทางธุรกิจ เสริมสร้างระบบบริหารจัดการให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องและพัฒนาสู่การเป็นองค์กรที่มั่นคงครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้เกิดความเป็นเลิศในธุรกิจด้านพลังงานทดแทนอย่างยั่งยืน นำมาซึ่งความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น ตลอดจนผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 มี.ค. 65)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top