CONSENSUS: โบรกฯเชียร์”ซื้อ”MINT คาดปี 65 พลิกมีกำไรธุรกิจรร.ในตปท.ฟื้น-ยอดขายอาหารโตต่อ

โบรกเกอร์ต่างเชียร์ “ซื้อ” หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) มองผลประกอบการปี 65 คาดพลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง จากรายได้ธุรกิจโรงแรมที่ลุ้นกลับไปแตะระดับก่อนช่วงโควิด-19 หลังปรับเพิ่มราคาห้องพัก และธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศทั้งยุโรป ออสเตรเลีย มัลดีฟส์ ฟื้นตัว ส่วนผลกระทบจากเหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครนไม่กระทบมากนัก ด้านนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเดินทางได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

สำหรับตลาดในประเทศ คาดจะพ้นช่วงพีคของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนภายในไตรมาส 2/65 และยังคงได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ส่วนปี 66 บริษัทอาจเริ่มกลับไปลงทุนที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาทอีกครั้ง หากการท่องเที่ยวฟื้นตัวตามคาด ส่วนธุรกิจอาหารมียอด SSSG ที่เพิ่มขึ้นแม้เจอสถานการณ์โอมิครอน ประกอบกับการเปิดเมืองหนุนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน MINT มีแผนควบคุมต้นทุนล่วงหน้า ชะลอผลกระทบราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นได้

ราคาหุ้น MINT ปิดเช้าที่ 32.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+0.79%) ขณะที่ดัชนี SET ลบ 0.16%

โบรกเกอร์คำแนะนำราคาเป้าหมาย
โนมูระ พัฒนสินซื้อ43.00
หยวนต้าซื้อ42.00
ฟินันเซีย ไซรัสซื้อ42.00
ยูโอบีเคเฮียนซื้อ41.00
เคทีบีเอสทีซื้อ40.00
ทรินีตี้ซื้อ39.90
พายซื้อ38.00
เมย์แบงก์ซื้อ37.00
เอเซียพลัสซื้อ36.00
ซีจีเอส ซีไอเอ็มบีซื้อ35.00
ไทยพาณิชย์ซื้อ35.00
ทิสโก้ซื้อ34.00

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปี 65 น่าจะเป็นปีที่ผลประกอบการของ MINT ฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีและเร็ว และมีโอกาสที่ดีในช่วงไตรมาสสุดท้าย ที่อาจจะเห็นผลประกอบการกลับมาเป็นบวกได้ จากธุรกิจโรงแรมของ MINT ในต่างประเทศ ที่ถือว่ามีสถานการณ์ที่ดีกว่าในประเทศไทย เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการโดยรวมให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น และแม้จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แต่คาดว่าจะพ้นช่วงจุดพีคภายใน Q2/65 บวกกับมีการเปิดเมือง ธุรกิจร้านอาหารต่าง ๆ ก็จะมีคนกลับเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น

“ในช่วงสั้นราคาหุ้นอาจจะไม่ได้หวือหวา เนื่องจากว่าสถานการณ์ของการระบาดมันก็ทำให้ภาพของการฟื้นตัวมีความเสี่ยงที่อาจจะชะลอลง แต่ว่าในภาพใหญ่ ยังไงก็ยังอยู่บนเส้นทางของการเปิดเมืองหรือว่าการฟื้นตัวทางด้านธุรกิจ เราเห็นผลประกอบการที่มันขาดทุนลดลงเรื่อย ๆ แล้วก็มีโอกาสจะไปลุ้นเป็นบวกในช่วงของ Q4/65 หรืออย่างช้าก็คงจะเป็นช่วงต้นปีหน้า เราให้ราคาเหมาะสมที่ 41 บาท/หุ้น แล้วก็ยังให้คำแนะนำซื้อสำหรับ MINT”

นายกิจพณกล่าว

ส่วนบล.หยวนต้า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงมีมุมมองเชิงบวก หลัง MINT ตั้งเป้าหมายที่จะกลับมาทำกำไรสุทธิได้ในปี 65 และคาดหวังให้ผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมกลับไปที่ระดับ Pre-Covid19 ได้ในช่วง H2/65 หรืออย่างน้อยใน Q4/65 จากตลาดยุโรปที่คาดว่าผลกระทบของโอมิครอน กำลังจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนตลาดออสเตรเลียมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบเมื่อ 21 ก.พ.65 คาดช่วยหนุนผลประกอบการจากที่ก่อนหน้ามีเพียงการเข้าพักจากนักท่องเที่ยวในประเทศ สำหรับตลาด Maldives ยังเป็นตลาดที่ฟื้นตัวโดดเด่น จากมาตรการควบคุม COVID-19 ที่ผ่อนคลายและเป็นเป้าหมายต้น ๆ ของนักเดินทางทั่วโลก ทำให้ Maldives เป็นตลาดแรก ๆ ที่ผลประกอบการดีกว่าช่วง Pre-Covid19 ไปแล้ว แต่ใน Q1/65 อาจต้องรับมือจากผลกระทบของนักท่องเที่ยวรัสเซีย (คิดเป็นสัดส่วน 13% ในตลาด Maldives) ด้านตลาดไทยการนำ Test&Go, การเพิ่มพื้นที่ Sandbox และการนำโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 มาใช้ คาดช่วยให้การฟื้นตัวยังเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สำหรับปี 65 MINT ตั้งงบลงทุนไว้ราว 6 พันล้านบาท ลดลงจากแผนตั้งต้นราว 31% ด้านแผนการเปิดโรงแรม MINT ยังคงมองหาโอกาสในการขยาย Portfolio เพิ่มเติม โดย MINT ยังคงใช้กลยุทธ์ “Asset Right” ผสมผสานระหว่างโรงแรมที่เจ้าของเอง/ร่วมทุน “Heavy Asset” และโรงแรมภายใต้สัญญารับจ้างบริหารและ MLR “Light Asset” แผนในระยะสั้น-กลางคาดเห็นแผนเปิดโรงแรมที่เป็น Light Asset เป็นส่วนใหญ่ และบริษัทฯ อาจจะเริ่มกลับไปลงทุนหนักที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาทอีกครั้งในปี 66 หากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาสู่ระดับปกติตามคาด

และธุรกิจอาหาร คาดภาพรวมทั้งปีกลับสู่สภาวะปกติใกล้เคียงกับระดับปี 62 ได้แล้ว จากตัวเลข SSSG ในเดือนม.ค.65 ฟื้นตัว +11% YoY ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับ -1.7% YoY ใน Q4/65 แม้ไทยซึ่งเป็นสัดส่วนหลักจะเผชิญการระบาดของโอมิครอน แสดงให้เห็นว่าแม้มีการระบาดแต่ตัวเลข SSSG พร้อมฟื้นตัว YoY ส่วนภาพตลาดในออสเตรเลียและจีนเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตัวเลข SSSG เป็นบวก YoY ได้แล้ว ขณะที่ต้นทุนน้ำมัน สินค้า Commodity และบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น MINT ได้พยายามควบคุมต้นทุนวัตถุดิบไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ไตรมาส 3/64 แล้ว คาดชะลอผลกระทบได้อย่างน้อยจนถึงไตรมาส 2/65

ส่วนบล.เคทีบีเอสที ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ MINT เช่นกัน เพราะแนวโน้มธุรกิจโรงแรมยังฟื้นตัวได้ดีตามคาด โดยจะเห็นการฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นช่วงไตรมาส 3-4/65 ซึ่งยุโรปยังคงเป็น Key Driver หลักในการฟื้นตัวต่อ รวมถึงมีการคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเดินทางได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ผลกระทบจากรัสเซียจำกัดเพราะมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียเพียง 2% ของรายได้รวม แต่อย่างไรก็ดีจะได้นักท่องเที่ยวยุโรปเข้ามาชดเชยได้เพราะไม่มีการล็อกดาวน์ ทำให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติ พร้อมประเมินธุรกิจโรงแรมของ MINT จะฟื้นตัวได้เร็วที่สุดในกลุ่มท่องเที่ยวจากยุโรปที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าไทย

และจะเน้นการปรับค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ขึ้นอีกราว 20% เพื่อชดเชยกับจำนวนพนักงานที่กลับมาทำงานเพิ่มขึ้น และตั้งเป้า Occ. Rate ของ MINT รวมที่ 50% จากปี 21 ที่ 36%, NH ที่ 63% จากปี 21 ที่ 34% พร้อมคาดทั้งปี 65 พลิกกลับมาเป็นกำไรได้ที่ 2.1 พันล้านบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 มี.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top