หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงจากความไม่แน่นอนรัสเซีย-ยูเครน,วิตกเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ มีโอกาสอ่อนตัวลงมาจากความไม่แน่นอนของรัสเซียและยูเครนที่ยังมีอยู่ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง อาจส่งผลกดดันให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ขณะเดียวกันเฟด ก็พร้อมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าคาด เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก ให้แนวรับไว้ที่ 1,667-1,670 จุด และแนวต้าน 1,680-1,685 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสอ่อนตัวลงต่อ เนื่องจากการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่ได้ข้อยุติ แต่แม้ว่าราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น 7.09% จะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ แต่ก็จะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น

นอกจากนี้ยังต้องระวังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ออกมาส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินมากขึ้นด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีอยู่ที่ 2.29% ซึ่งจะกดดันการประเมินมูลค่าหุ้นในภาพรวม

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก

ให้แนวรับไว้ที่ 1,667-1,670 จุด และแนวต้าน 1,680-1,685 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (21 มี.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,552.99 จุด ลดลง 201.94 จุด หรือ -0.58% , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,461.18 จุด ลดลง 1.94 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,838.46 จุด ลดลง 55.38 จุด หรือ -0.40%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,091.32 จุด เพิ่มขึ้น 263.89 จุด หรือ +0.98%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,319.19 จุด เพิ่มขึ้น 97.85 จุด หรือ +0.46% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,249.54 จุด ลดลง 4.15 จุด หรือ -0.13%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 มี.ค.) ที่ระดับ 1,673.87 จุด ลดลง 4.64 จุด, -0.28%

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 946.94 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 มี.ค.65

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.(21 มี.ค.) เพิ่มขึ้น 7.42 ดอลลาร์ หรือ 7.09% ปิดที่ 112.12 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 มี.ค.) อยู่ที่ 12.43 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.66 อ่อนค่ารับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ให้กรอบ 33.55-33.80

– สรรพสามิตประเดิมจับมือ 2 ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน “เกรท วอลล์-เอ็มจี” เข้ามาตรการรับส่วนลดราคาขาย 1.5 แสนบาท ค่ายรถญี่ปุ่นขอเวลา 6 เดือนเตรียมความพร้อม แอบลุ้นเบนซ์-บีเอ็ม ส่วนลดสูงถึง 7 แสนบาท

– “คณิศ” ชี้ถึงเวลารัฐปรับนโยบายเศรษฐกิจช่วยคนส่วนใหญ่ของประเทศให้มีอาชีพได้อีกครั้ง หลัง 2 ปีที่ผ่านมารายได้คนกลุ่มนี้หายไป 1 ล้านล้านบาท ลั่น “คนละครึ่ง” ดี แต่รัฐช่วยให้กินข้าวได้แค่ครึ่งชาม ต้องช่วยให้สร้างรายได้ด้วยตัวเอง ด้าน “อีอีซี” จับมือแบงก์รัฐทำ “แซนด์บ็อกซ์” สร้างอาชีพให้คนในพื้นที่

– นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ.กำลังทำโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ทั้งระบบ อาจปรับค่าไฟฟ้าฐานจากปัจจุบันอยู่ที่ 3.76 บาท/หน่วย เพราะเป็นรอบที่ต้องปรับประจำอยู่แล้ว 3-5 ปีต่อครั้ง อีกทั้งค่าไฟฟ้าฐานปัจจุบันใช้มาตั้งแต่ปี 58 จึงต้องปรับใหม่ให้สอดคล้องกับการใช้พลังงานมากขึ้น คาดว่าภายในเดือน เม.ย.นี้ จะประกาศเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และจะกำหนดใช้ได้ภายในกลางปี 65

– สายการบินแห่ขอ กพท.เปิดบินระหว่างประเทศ หลัง’เวียดนาม-กัมพูชา-มาเลย์’ เปิดเดินทางไม่กักตัว ลุ้นสงกรานต์เดินทางเข้าไทยพีค ‘ศักดิ์สยาม’คาด ครม.เคาะโอนสนามบินอุดรธานี-บุรีรัมย์-กระบี่ให้ ทอท.คุม เม.ย.นี้ เริ่มให้บริการ ส.ค.

หุ้นเด่นวันนี้

– TOP (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้า 63 บาท ในไตรมาส 1/65 แนวโน้มกำไรพุ่งแรงได้ประโยชน์ 2 เด้งจาก 1) ค่าการกลั่นฟื้นตัวต่อเนื่องคาดเฉลี่ยไตรมาส 1/65 ที่ระดับ 7-8 เหรียญ/บาร์เรล เทียบไตรมาส 4/64 ที่ 5-6 เหรียญ/บาร์เรล และ 2) ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะลุระดับ 110 เหรียญ/บาร์เรล หนุนหุ้นโรงกลั่นบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบจำนวนมาก

– JMT (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 80 บาท คาดกำไรสุทธิปี 65 ขยายตัวเด่น +65% YoY (EPS +35%) แรงหนุนจากยอดเก็บหนี้และการซื้อหนี้ที่แข็งแกร่ง (NPL ธนาคารไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นบวกต่อ AMC) ผสานการ JV กับธนาคารพาณิชย์ในการแก้ปัญหาหนี้ โควิด-19 เป็น Upside Risk ในระยะกลาง-ยาว และมีโอกาสสูงในการถูกคัดเลือกเข้าไปคำนวณใน SET50 กลางปีนี้ เป็นแรงหนุนเพิ่มเติม

– PJW (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้าหมาย 6 บาท คาดแนวโน้มการเติบโตปี 2565 ยังสดใสทั้งธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ฟื้นตัว รวมถึงจะเห็นพัฒนาการที่ชัดเจนขึ้นในการ Diversify ไปยังพลาสติกทางการแพทย์ซึ่งแนวโน้มเติบโตดีระยะยาวและมี Margin สูง นอกจากนี้เราคาดว่า PJW มีศักยภาพและเตรียมรุกตลาดชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับ EVs ในเร็วๆนี้ เป็นบวกต่อการเติบโตระยะยาวและชดเชยการชะลอตัวของบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นได้ เราคาดกำไรปี 2565-2567 +15% CAGR

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 มี.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top