7 กระทรวง MOU ร่วมพัฒนาเด็กปฐมวัย-ผู้สูงอายุ, นายกฯ ยันให้ความสำคัญพัฒนากำลังคน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง : การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (กลุ่มเด็กปฐมวัย และผู้สูงอายุ) พ.ศ. 2565 – 2569 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (61-80) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ ที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อพัฒนาคนในทุกมิติและทุกช่วงวัย

สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 7 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงนามข้อตกลงฉบับนี้ ถือเป็นการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนเพราะถือเป็นกำลังหลักของชาติและเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ ตลอดจนเป็นรากฐานสำคัญที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันพัฒนาขับเคลื่อนอย่างรอบด้าน โดยมุ่งเน้นสองกลุ่ม คือ กลุ่มเด็กปฐมวัยและกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งการพัฒนาเด็กปฐมวัยต้องได้รับการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพให้เท่าเทียมในทุกมิติ เพื่อให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เป็นคนดีของสังคม มีจิตสำนึกที่ดี และมีภูมิคุ้มกันพร้อมเผชิญกับสถานการณ์โลกในอนาคตที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงาน จะต้องวางรากฐานให้เรียนรู้การใช้ชีวิต สร้างงาน สร้างอาชีพที่มั่นคง

ขณะเดียวกันทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งไทยก็เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเช่นเดียวกัน ดังนั้นต้องทำให้ผู้สูงอายุมีความภาคภูมิใจว่าเป็นประชากรที่มีศักยภาพ พึ่งพาตนเองได้ และเป็นพลังสำคัญของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันพัฒนากำลังคนทุกช่วงวัยให้เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำงานต้องต่อเนื่อง หลายอย่างที่มีความก้าวหน้า หลายอย่างยังอยู่ในขั้นตอนที่ต้องมีการแก้ไข ซึ่งทุกคนที่มีอยู่กับตนเองก็ร่วมทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว จึงอยากให้ไปดูผลงานว่า มีอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง ก็คาดหวังว่า จะได้ทำงานต่อเนื่องไปซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง สานต่อสิ่งที่ทำสำเร็จไปยังสิ่งที่ใกล้จะสำเร็จหรือยังไม่สำเร็จ และทุกคนรู้ปัญหาประเทศไทยเป็นอย่างดี แต่ขึ้นอยู่กับจะทำอย่างไรและทำได้หรือไม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายอย่างพยายามแก้ไขให้ดีที่สุด เราต้องเผชิญปัญหา ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆมามากมาย ซึ่งตนเองรู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นอีก เราก็พยายามป้องกันในสิ่งที่ทำให้การพัฒนาช้าเกินไปเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก ก็พยายามอย่างเต็มที่ ต้องให้กำลังใจ เพราะถ้าเอาแต่ตำหนิต่อว่า คนทำงานก็หมดกำลังใจ ซึ่งตนเองก็บอกว่า อย่าท้อแท้ และสิ่งเหล่านี้ถือเป็นความท้าทายของประเทศไทย ประเทศจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นทุกคนร่วมรับชะตากรรมด้วยกันทั้งหมด และขอให้ทุกคนช่วยกันโดยไม่อยากเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top