คกก.โรคติดต่อ ถกแผนเปลี่ยนผ่านโควิดสู่โรคประจำถิ่น เปิดปท.ตามมาตรการ 2U-3 พอ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2565 โดยระบุว่า ที่ประชุมฯ ได้หารือแผนดำเนินงานมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น และเตรียมการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระยะ Post-pandemic เนื่องจากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ของประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับหลายประเทศที่เตรียมการเปลี่ยนผ่านสู่โรคประจำถิ่นเช่นกัน อาทิ สเปน อินเดีย รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นต้น

สำหรับภาพรวมของประเทศไทย ขณะนี้ได้เข้าสู่ระยะ Declining คือ มีผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตลดลงเร็วกว่าฉากทัศน์ที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากการที่ประชาชนร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการ ทำให้ควบคุมสถานการณ์หลังสงกรานต์ได้ดี ไม่มีการระบาดใหญ่ตามมา รวมถึงความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ มีการเตรียมความพร้อมเปลี่ยนผ่านสู่โรคประจำถิ่นในบางส่วนแล้ว อาทิ ประกาศลดระดับการเตือนภัย จากระดับ 4 เป็นระดับ 3 ทั่วประเทศ และมอบหมายให้ทุกจังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับการเปิดเมืองเปิดประเทศตามมาตรการ “2U” (Universal Prevention & Universal Vaccination) และ “3 พอ” (เตียงพอ หมอพอ เวชภัณฑ์และวัคซีนพอ)

ขณะที่ภาพรวมประเทศไทยฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 134 ล้านโดส ครอบคลุมเข็มแรกกว่า 81% เข็มที่สอง 74% เข็มกระตุ้น 38% และอยู่ระหว่างเร่งรัดการฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงให้ได้ตามเป้าหมาย คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เข็มแรก 84% เข็มที่สอง 80% และเข็มกระตุ้น 42%

สำหรับมาตรการเตรียมรับการเปิดเทอมทั่วประเทศ ในวันที่ 17 พ.ค. 65 กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ปรับมาตรการป้องกันโรค และการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและสามารถเปิดเรียน On-site ได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับเร่งรัดการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กนักเรียน ซึ่งขณะนี้เด็กอายุ 5-11 ปี ได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกกว่า 54% และเข็มที่สอง 17%

นายอนุทิน กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ชื่นชมความสำเร็จในการรับมือวิกฤตโควิด-19 ของไทย โดยระบุว่า มีปัจจัยความสำเร็จ 5 ประการ ได้แก่ ผู้บริหารประเทศให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหา, มีระบบหลักประกันสุขภาพและการดูแลปฐมภูมิที่ดี, มีความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เป็นกำลังสำคัญของสาธารณสุข, ประชาชนและชุมชนมีความเข้มแข็ง และมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการโควิด-19 ซึ่งจะนำเสนอประสบการณ์ในการรับมือโควิด-19 ในที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลกให้ประเทศสมาชิกได้เรียนรู้ต่อไป

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ที่ประชุมฯ ได้รับทราบการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจสุขาภิบาลยานพาหนะเรือ และการออกเอกสารรับรอง Ship Sanitation Certificate (SSC) ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น และการเดินทางระหว่างประเทศทางเรือกำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมที่มีชาวต่างชาติมาเยือนทางเรือ การตรวจสุขาภิบาลเรือ และออกเอกสารรับรองสุขาภิบาล จึงมีความสำคัญภายใต้มาตรฐานของกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR 2005)

ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศทางน้ำ (ท่าเรือ) กรมแพทย์ทหารเรือ กองทัพเรือ เจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกพาณิชน์นาวี กระทรวงคมนาคม และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เข้าร่วมการฝึกอบรมเรื่องการตรวจสุขาภิบาลเรือ และการออกใบรับรองสุขาภิบาลเรือ ที่จะจัดในระหว่างวันที่ 9-13 พ.ค. 65 ณ โรงแรมมิราเคิล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต

ทั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก และศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข (TUC) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่ปฏิบัติงานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศทางน้ำ ให้มีศักยภาพประเมินความเสี่ยงทางด้านสาธารณสุขและสุขาภิบาลในเรือให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบในประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ 1. ยุทธศาสตร์กำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ พ.ศ.2565-2573 และแผนปฏิบัติการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ พ.ศ.2565-2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อปิดช่องว่างและพัฒนารูปแบบ การดำเนินงานให้บรรลุเป้าประสงค์ในการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ บี และซี ให้ได้ภายใน พ.ศ.2573 และ 2. โครงการป้องกันและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคติดต่อ แก่ชาวไทยมุสลิมที่เดินทางแสวงบุญ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ปี 2565

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ค. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top