IPOInsight: FTI ถอดรหัสขึ้นผู้นำ “All solutions of water”

บมจ.ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (FTI) ระดมทุนขยายร้านตัวแทนจำหน่าย เจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียมและกลุ่มลูกค้าอาเซียน หวังเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำครบวงจร

FTI ได้เปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเสนอขายในราคาหุ้นละ 2.50 บาท ระหว่างวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2565 มีนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อเต็มจำนวน ผู้บริหารระบุว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตได้ต่อเนื่อง และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

แกะรอยความสำเร็จ ประสบการณ์กว่า 25 ปี

นายวิกร ภูวพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FTI เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า ธุรกิจของบริษัทเริ่มมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเริ่มจากการเป็นตัวแทนนำเข้าและจำหน่ายเครื่องกรองน้ำสำหรับใช้ในภาคครัวเรือน ทก่อนจะเติบโตขยายไปสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ ต่อเนื่องไปจนถึงตลาดภาคอุตสาหกรรม จนถึงทุกวันนี้บริษัทผลิตและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำครบวงจรภายใต้แบรนด์ของตัวเองมากถึง 23 แบรนด์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80-90% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นแบรนด์อื่น โดยมีช่องทางจำหน่ายหลักผ่านร้านค้าและผู้จัดจำหน่ายกว่า 600 ราย

ปัจจุบัน FTI แบ่งโครงสร้างรายได้เป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ซึ่งเป็นยอดขายอันดับหนึ่งราว 33-34%, กลุ่มครัวเรือนราว 32-33%, กลุ่มภาคอุตสาหกรรมที่ 20% และสุดท้ายเป็นรายได้จากสารกรองน้ำซึ่งใช้ในทุกภาคส่วนอีกราว 10%

“เราเปิดบริษัทตั้งแต่ปี 2540 ในยุคเศรษฐกิจต้มยำกุ้งพอดี เราเป็น Exclusive Distributor นำผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ เกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำมาบุกในตลาดครัวเรือน จากนั้นขยายเข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ ก็จะเป็นพวกโรงงานผลิตน้ำดื่ม โรงงานต่าง ๆ โรงเรียน โรงพยาบาล หรือ สำนักงาน แล้วก็ขยับมาเติบโตในภาคอุตสาหกรรมผลิตน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค”

นายวิกรกล่าว

All Solution of Water ตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้า

จากการสำรวจตลาดเครื่องกรองน้ำ พบว่ามีผู้บริโภคที่ยังไม่ใช้เครื่องกรองน้ำอีกราว 40% นั่นหมายความว่าบริษัทยังมีโอกาสเติบโตและขยายธุรกิจด้านนี้ได้อีกมาก นอกจากนี้ด้วยการเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างครบวงจร บริษัทยังมีโครงการที่จะขยายตลาดบนหรือกลุ่มลูกค้าพรีเมียม ซึ่งจะสร้างการเติบโตให้กับ FTI ได้อีกมากในอนาคต

“ต้องบอกว่าเราเป็นผู้ผลิต ผู้นำเข้า และขายส่งตลาดที่เป็น B2B ซึ่งยังไม่มีคู่แข่งรายใดที่มีสินค้าครบเหมือนเรา เรามีแบรนด์ที่หลากหลาย ทำให้เราจับได้ทุกกลุ่มลูกค้า บวกกับเรามีความเป็น One Stop Service เราเลยใช้สโลแกนว่า All Solution of Water หากลูกค้าคิดถึงน้ำ ให้ลูกค้าคิดถึงเรา “

นายวิกร กล่าว

ชูยอดขายโดดเด่น-ศักยภาพทำกำไรแกร่ง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ตั้งแต่ในปี 2540 ที่เปิดบริษัทก็มียอดขายถึง 3 ล้านบาท และอีก 4 ปีถัดมาก็มียอดขายทะลุ 100 ล้านบาท และเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ประมาณ 20-30% ทุกปี อย่างในปี 2563 ก็มียอดขายสูงถึง 860 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิราว 70 ล้านบาท

และแม้ว่ายอดขายในปี 2564 จะลดลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทก็ยังมีกำไร และในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายผลักดันรายได้ให้กลับมาเติบโตไม่น้อยกว่า 25-30% หลังจากเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“ในช่วงแรกที่เรานำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ แม้ว่าจะมียอดขายที่สูง แต่ในส่วนของมาร์จิ้นยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการสร้างแบรนด์ของเราเองจึงส่งผลให้เกิดการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอัตรามาร์จิ้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25-30% ต่อปี”

นายวิกร กล่าว

เดินหน้าเข้า SET ขยายกลุ่มลูกค้า-เสริมความเชื่อมั่น

นายวิกร กล่าวว่า เป้าหมายการระดมทุนใน SET เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต คือแผนขยายตัวแทนจำหน่ายภายในปี 65-67 ได้แก่ การขยายร้าน Aquatek จำนวน 50 สาขา ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 1 สาขา เพื่อจับตลาดลูกค้ากลุ่มพรีเมียม ,การขยายร้าน Water Store เพิ่มอีก 5 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 19 สาขา โดยจะขยายในประเทศไทย 2 สาขา และลาว กัมพูชา เมียนมา เพิ่มประเทศละ 1 สาขาเพื่อขยายตลาดต่างประเทศ

พร้อมทั้งจะนำเงินที่ได้ตกแต่งอาคารจัดแสดงสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ ,ปรับปรุงอาคารคลังสินค้า, การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์,ขยายกำลังการผลิตประกอบ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเพิ่มศักยภาพ และผลักดันการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัทอีกด้วย

“เราตั้งเป้าหลัง IPO จะมุ่งตลาดในเชิงครัวเรือน โดยที่เราจะเปิดร้าน Aquatek เจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียม ซึ่งเราพบว่ายอดขายในกลุ่มตลาดกลางขึ้นบนเรามีไม่ถึง 1% นั่นหมายความว่าเรามีโอกาสอีก 99% ที่จะขยายฐานลูกค้าตรงนี้ และแม้ว่ายอดขายอาจจะไม่ได้มีจำนวนมากเท่าลูกค้ากลุ่มกลางและล่าง แต่มาร์จิ้นที่แตกต่างกันก็จะส่งผลให้กำไรของเราสูงขึ้น

และเราเชื่อว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จะส่งผลอะไรกับเราหลายอย่าง ที่แน่ ๆ คือเรื่องระบบการจัดการ ที่จะมีมาตรฐานมากขึ้น เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และเราก็ยังมั่นใจว่าธุรกิจของเราหลังเข้าตลาด ก็จะมีการการเติบโต ทำให้เราเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างครบวงจรทั้งในประเทศ และในภูมิภาคอาเซียน” นายวิกรกล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 พ.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top