IPOInsight: STP พิมพ์แผนอนาคตลุยขยายศักยภาพรับงานล้นมือ

บมจ.สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (STP) เปิดระดมทุนรองรับแผนงานใหญ่ขยายโรงงานและเครื่องจักร เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนเกินกำลัง โดยเฉพาะจากฐานลูกค้าเดิมกลุ่มที่มีการเติบโตสูงอย่างกลุ่มอาหาร (Food) และอาหารสัตว์ (Pet Food) พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้ารายใหม่สร้างการเติบโตแข็งแกร่ง ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิดมามากกว่า 50 ปี

STP กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 25.40 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25.40% ของจำนวนหุ้นหลัง IPO ที่ราคาหุ้นละ 18 บาท เปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 2 และ 6-7 มิ.ย.65 และเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 14 มิ.ย.65 โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

บริษัทจะจัดสรรหุ้น IPO แบ่งเป็นจัดสรรหุ้นให้กับบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สัดส่วน 70% ผู้มีอุปการคุณของบริษัท สัดส่วน 15% ผู้ลงทุนสถาบัน 9.8% และกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทสัดส่วน 4.3%

ราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 18 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วน P/E ราว 11.3 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2564 ถึงวันที่ 31 มี.ค. 2565) ซึ่งเท่ากับ 122.3 ล้านบาท และนำมาคิดคำนวณตามวิธีการหามูลค่า พร้อมกับเปรียบเทียบกับธุรกิจในอุตสาหกรรมใกล้เคียงกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย P/E อยู่ระหว่าง 18-19.4 เท่า

*เปิดประสบการณ์ 53 ปีสู่ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจการพิมพ์

นายสุรนัย โรจน์วงศ์จรัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STP ให้สัมภาษณ์กับ “อินโฟเควสท์” ว่า บริษัทประกอบธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิดมานานกว่า 50 ปี โดยเริ่มก่อตั้งกิจการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2512 จากการเป็นธุรกิจภายในครอบครัว ขยับขยายจนมีสำนักงานอยู่ที่แถวจรัญสนิทวงศ์ จนมาถึงในปี พ.ศ.2550 ย้ายมาสู่โรงงานที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พื้นที่ 25 ไร่ในปัจจุบัน

โครงสร้างรายได้ของบริษัทแบ่งเป็นสัดส่วนกลุ่มลูกค้าอาหาร (Food) มากถึง 91% ซึ่งในสัดส่วนนี้กว่า 80% มาจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ (Pet Food) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง ส่วนรายได้ที่เหลืออีก 3% มาจากลูกค้าในกลุ่มเครื่องดื่ม (Beverage) และอีกประมาณ 6% เป็นรายได้อื่น ๆ

*สัมพันธ์ลูกค้ารายใหญ่แนบแน่น เล็งเติบโตตาม Pet Food

บริษัทมีลูกค้ารายใหญ่ประมาณ 10 กว่าราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด 10-20 ปี โดยหลัก ๆ เป็นลูกค้าในกลุ่ม Food และ Pet Food

“ทาง STP มีทีมงานและผู้บริหาร ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ และก็มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็อยู่ในส่วนของ Pet Food ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตสูง อย่างในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตลาดส่งออกอาหารสัตว์ของไทยมีอัตราการเติบโตที่ประมาณปีละ 20% และการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์ทั่วโลกในอีก 5 ปีจากนี้ (2565-2569) คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 8% จาก 44,000 ล้านเหรียญ เป็น 60,000 ล้านเหรียญ ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสของเราที่จะเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า” นายสุรนัยกล่าว

นายสุรนัยกล่าว
*Gross Profit Margin สูงกว่าอุตสาหกรรม

ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำ Cost Control ได้ดี สะท้อนได้จากค่าเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 38% เทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมอยู่ที่ 22% เท่านั้น ส่วนในด้านอัตรากำไรสุทธิ (Net income) อยู่ที่ 20% ขณะที่ค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมอยู่ที่เพียง 6%

“จุดแข็งของเราคือเราสามารถทำ Cost Control ได้ดี และเราได้คำนวณ ออกแบบ ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า ประกอบกับ สินค้าของเรามีคุณภาพตามมาตรฐานสากลทั้ง ISO9001, ISO14001, GMP, Sedex , FSC และในปี 66 เรายังวางแผน apply อีก 1 มาตรฐานก็คือ BRC เจาะตลาดกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์อาหารที่สามารถสัมผัสอาหารโดยตรง (Direct Food Contact Packaging) เพื่อเปิดช่องทางการขยายฐานลูกค้าใหม่อีกด้วย” นายสุรนัยกล่าว

นายสุรนัยกล่าว
*ตั้งเป้าปี 65 โตต่อเนื่องยอดคำสั่งซื้อล้นมือ

นายสุรนัย กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างในช่วงปี 62 รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 370 ล้านบาท และเติบโตสู่ 562 ล้านบาทในปี 64 ขณะที่กำไรก็มีการเติบโตเช่นเดียวกัน โดยกำไรของบริษัทอยู่ที่ 59 ล้านบาทในปี 62 และ 124 ล้านบาทในปี 64

ส่วนแผนการเติบโตในปี 65 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตแบบ Conservative ราว 10-15% เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตที่ไม่สามารถรองรับออร์เดอร์ได้เพียงพอ โดยเชื่อว่าเมื่อแผนขยายกำลังการผลิตแล้วเสร็จจะสนับสนุนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

“เราตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโตที่ 10-15% ถือว่าค่อนข้าง Conservative เพราะตอนนี้เรามีโรงงานอยู่ที่เดียว ก็คือที่ปทุมธานี กำลังการผลิตของเราอยู่ที่ 50 ล้านแผ่นพิมพ์ต่อปี ตอนนี้ใช้อย่างเต็มที่แล้ว เราต้องมีการส่งให้ทาง Outsource เพื่อช่วยในงานตรงนี้ ในส่วนของแผนขยายกำลังการผลิต เราคาดว่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 4/65 เพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าในกลุ่ม Food และ Pet Food” นายสุรนัยกล่าว

นายสุรนัยกล่าว
*ระดมทุนขยายธุรกิจหวังดันรายได้พุ่งแตะ 750 ล้านบาทใน 5 ปีเป็นอย่างช้า

บริษัทมีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เพื่อการขยายโรงงานและโกดังราว 70 ล้านบาท และใช้สำหรับขยายเครื่องจักรที่ 290 ล้านบาท รวมไปถึงใช้เพื่อทำการติดตั้ง Solar Rooftop เพิ่มเท่าตัวอีก 500 กิโลวัตต์ จากเดิม 500 กิโลวัตต์ เพื่อช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับแผนระยะยาวช่วง 3-5 ปี เบื้องต้นหลังจากขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับออเดอร์ที่เกินอยู่เรียบร้อยแล้ว บริษัทจะขยายไปยังตลาดใหม่อย่างบรรจุภัณฑ์ที่สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง (Direct Food Contact Packaging) เชื่อว่าจะหนุนการเติบโตของรายได้ให้แตะ 750 ล้านบาทภายใน 5 ปีตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

“ทาง STP เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษทุกชนิด เราอยู่ในธุรกิจนี้มา เป็นปีที่ 53 แล้ว เราก็ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และด้วยจุดแข็งที่หลากหลาย หนุนให้เรามีผลประกอบการที่ดี และในช่วงที่ผ่านมาเราก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นในส่วนของเป้ารายได้ที่เราตั้งไว้ 750 ล้านบาทภายใน 5 ปี เราก็คาดว่าอาจจะบรรลุเป้าได้เร็วกว่านั้น” นายสุรนัย กล่าว

นายสุรนัย กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 มิ.ย. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top