พาณิชย์ คาดปัญหาน้ำมันปาล์มแพงคลี่คลายใน 1-2 เดือน หลังอินโดฯ กลับมาส่งออก

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาราคาสินค้าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน สนค. จึงได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ หลังประเทศอินโดนีเซียยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม

นายรณรงค์ กล่าวว่า น้ำมันปาล์มบรรจุขวด เป็นหนึ่งในสินค้าที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ จากสถิติราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในปี 64 พบว่า ราคาน้ำมันปาล์มดิบกึ่งบริสุทธิ์อยู่ที่ขวดละ 54-55 บาท ขณะที่ปัจจุบัน (พ.ค. 65) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ขวดละ 68 บาท สืบเนื่องจากราคาเฉลี่ยของผลปาล์มดิบปรับเพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ย 6.5 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 64 เป็น 9.6 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 65

สำหรับการขยับขึ้นของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก เกิดขึ้นจาก 4 สาเหตุหลัก คือ

1. การฟื้นตัวของความต้องการน้ำมันปาล์มในตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดอินเดีย

2. มาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนในประเทศ โดยในปี 65 ได้ออกมาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มแล้ว 2 ครั้ง คือ เดือนม.ค.-มี.ค. และเดือนพ.ค.

3. ผลกระทบด้านพลังงานที่เกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้มีการใช้น้ำมันปาล์มผสมเป็นไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นในฐานะพลังงานทดแทน

4. ผลกระทบจากภัยแล้งในแอฟริกาใต้ ทำให้ปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองลดลง ภาคการผลิตอาหารส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องหันมาใช้น้ำมันปาล์มเป็นทางเลือกมากขึ้น

นายรณรงค์ กล่าวว่า ประเด็นที่อินโดนีเซียประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. 65 นั้น สนค. ประเมินว่า แม้ว่าอินโดนีเซียจะเริ่มส่งออกน้ำมันปาล์มได้อีกครั้ง แต่คาดว่าราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกจะยังคงทรงตัวระดับสูงในระยะสั้น โดยวิกฤติด้านราคาน่าจะคลี่คลายลงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า เมื่ออุปทานน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มที่

“คาดการณ์ว่า จะมีอุปทานน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซีย เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้ เนื่องจากมีผลผลิตปาล์มส่วนหนึ่งที่เกษตรกรเก็บไว้ในช่วงที่มีประกาศห้ามส่งออก เมื่อรวมกับผลผลิตปัจจุบันด้วยแล้ว ทำให้นักวิเคราะห์ต่างคาดหมายว่าจะมีอุปทานน้ำมันปาล์มเข้าสู่ระบบมากขึ้น”

นายรณรงค์ กล่าว

ปัจจุบัน อินโดนีเซียมีการเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มอยู่แล้วประมาณ 5 ล้านตัน ขณะที่ความสามารถในการกักเก็บเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 6-7 ล้านตัน ซึ่งจะเต็มความจุภายในสิ้นเดือนมิ.ย. 65 และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียต้องหันกลับมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้ง เพราะหากยังไม่มีการส่งออก ก็จะไม่มีการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในช่วงถัดไป เมื่อผลผลิตล้นตลาดและไม่มีสถานที่เก็บสต็อกจะเกิดการเน่าเสีย นอกจากเหตุผลในด้านปริมาณส่วนเกินในตลาดอินโดนีเซียแล้ว การเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มเป็นเวลานาน ยังส่งผลให้น้ำมันปาล์มเสื่อมคุณภาพลงอย่างรวดเร็วด้วย

ทั้งนี้ จากสถิติด้านการผลิตและการบริโภคน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย พบว่า อินโดนีเซียมีความสามารถในการผลิต 4 ล้านตันต่อเดือน ใช้บริโภคในประเทศเพียง 1.5 ล้านตันต่อเดือนเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูกส่งออกในปริมาณ 2.5 ล้านตันต่อเดือน

“ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่า ปริมาณน้ำมันปาล์มส่วนเกิน และความสามารถในการเก็บสต็อกที่มีอยู่อย่างจำกัด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียต้องกลับมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้ง แต่ราคาอาจยังไม่ลดลงในทันที เนื่องจากข้อบังคับของรัฐบาลอินโดนีเซียที่ยังกำหนดเพดานการส่งออกเพื่อป้องกันการขาดแคลนในประเทศ”

ผู้อำนวยการ สนค.กล่าว

ขณะเดียวกัน ในด้านอุปสงค์ของผู้นำเข้าจากอินเดีย จีน และสหภาพยุโรป ต่างคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันปาล์มในอนาคตจะอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ผู้นำเข้าส่วนหนึ่งชะลอการนำเข้าเพื่อรอราคาที่เหมาะสม

นายรณรงค์ กล่าวว่า ข้อมูลจากกรมการค้าภายใน ได้ชี้ให้เห็นถึงภาวะตลาดของน้ำมันปาล์มของไทย ณ วันที่ 31 พ.ค. 65 พบว่า ประเทศไทยมีสต็อกของน้ำมันปาล์มต่อเดือนอยู่ที่ระดับ 190,000-200,000 ตัน ซึ่งนอกจากจะเพียงพอต่อความต้องการในประเทศแล้ว ไทยยังสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและประเทศได้อีกด้วย

สำหรับตลาดส่งออกหลักของไทย คือ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีมูลค่าส่งออกในสัดส่วน 74.7% ของการส่งออกน้ำมันปาล์มทั้งหมดของไทยในไตรมาสแรก ปี 65 ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทย อยู่ที่ 54-55 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียที่ 55-56 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ การตึงตัวของอุปทานน้ำมันปาล์มในตลาดโลก เป็นโอกาสการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทยที่จะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น

นายรณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งเจรจากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งระบบ ทั้งเกษตรกร และโรงกลั่น พร้อมทำความเข้าใจกับผู้บริโภค เพื่อให้เกิดความสมดุลของราคาที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด ขณะที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มได้ราคาดีที่สุด และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนในประเทศในระยะยาวต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 มิ.ย. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top