นายกฯ พอใจโครงการเกษตรแปลงใหญ่ช่วยลดต้นทุน 2.4 หมื่นลบ.เพิ่มผลผลิต 2.2 หมื่นลบ.

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยความคืบหน้าโครงการเกษตรแปลงใหญ่ของรัฐบาลที่สนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ใกล้เคียงรวมตัวกันผลิตสินค้าเกษตร บริหารจัดการ และจัดจำหน่าย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เชื่อมโยงตลาด และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้มากขึ้น โดยมีหน่วยงานภาครัฐและภาคีที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรรายงานว่า ณ วันที่ 3 พ.ค.65 มีจำนวนเกษตรแปลงใหญ่ 8,918 แปลง จำนวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 4.96 แสนคน คิดเป็นพื้นที่รวม 8.36 ล้านไร่

เมื่อปี 2563 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งปรับแนวทางการทำงานเพื่อเร่งขยายพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ ทำการวิเคราะห์เชิงลึกต่อความต้องการของกลุ่มสมาชิกเพื่อจัดทำแผนธุรกิจและรูปแบบการทอดองค์ความรู้ เน้นด้านการลดต้นทุน การพัฒนาศักยภาพเกษตรกรสู่ Smart Farmer และการเชื่อมโยงการตลาด ทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อาทิ 1) ลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรรวม 2.4 หมื่นล้านบาท 2) เพิ่มผลผลิตรวม 2.2 หมื่นล้านบาท 3) เกษตรกรได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตสินค้าเกษตรรวม 1.88 แสนราย และ 4)การเชื่อมโยงการตลาด เช่น ตลาดข้อตกลงล่วงหน้า ซึ่งรวมเทสโก้โลตัส แม็คโคร บิ๊กซี และเซ็นทรัล จำนวนรวม 921 แปลง ตลาดรับซื้อทั่วไป/โรงงานแปรรูป จำนวน 8 พันแปลง และตลาดออนไลน์ จำนวน 489 แปลง

สำหรับแผนระยะต่อไปจะยกระดับโครงการเกษตรแปลงใหญ่ด้วยเกษตรทันสมัยและเชื่อมโยงตลาดทุกรูปแบบ ตามแนวคิดการตลาดนำการผลิต เพื่อให้สอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งให้ความสำคัญกับการผลิตที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลักดันการแปรรูปเกษตรมูลค่าสูง ใช้การตลาดสมัยใหม่ เพื่อให้ไทยเป็น 1 ใน 7 ประเทศสำคัญของผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูงของโลกภายในปี 2580 และขณะนี้ยังพบว่า มีจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนและมังคุดมารวมกลุ่มกันมากขึ้น ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น สมาชิกแปลงใหญ่ทุเรียน อำเภอเมือง นนทบุรี ได้ดำเนินการร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรในการนำเอาองค์ความรู้การปลผูกทุเรียนแบบดั้งเดิมมาผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ และใช้เป็นแบบอย่างต่อยอดพัฒนาให้กับกลุ่มแปลงใหญ่อื่นๆ เพื่อให้เกิดการเชื่อมเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งต่อไป

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลงานการขยายพื้นที่โครงการเกษตรแปลงใหญ่ ขับเคลื่อนโดยกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญในการปฏิรูปภาคการเกษตรของประเทศไทย เพราะจะสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรรายย่อยทั้งด้านการผลิตและการจำหน่าย การรวมกลุ่มกันจะสร้างอำนาจต่อรองให้เกษตรกร โดยไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การเอาเปรียบจากคู่ค้าใดๆ และมีโอกาสในการขยายตลาดไปช่องทางต่างๆได้มากขึ้น รวมถึงตลาดต่างประเทศด้วย สำหรับเกษตรที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่เกษตรอำเภอทั่วประเทศ” น.ส.รัชดา กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 มิ.ย. 65)

Tags: , ,
Back to Top