ไทยเสนอ “อุทยานธรณีขอนแก่น” เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก ชูแหล่งค้นพบซากไดโนเสาร์

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเสนออุทยานธรณีขอนแก่น เป็นอุทยานธรณีโลก ขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ซึ่งอุทยานธรณีขอนแก่น มีเนื้อที่ประมาณ 1,038 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 อำเภอในจังหวัดขอนแก่น คือ อำเภอภูเวียง อำเภอเวียงเก่า และอำเภอมัญจาคีรี ซึ่งอำเภอมัญจาคีรี เป็นอำเภอที่ ครม.เห็นชอบให้เพิ่มรวมอยู่ในพื้นที่อุทยานธรณีขอนแก่น เนื่องจากเป็นแห่งค้นพบซากไดโนเสาร์เช่นกัน

ลักษณะโดดเด่นของอุทยานธรณีขอนแก่นนี้ เป็นแหล่งค้นพบซากไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ สายพันธุ์ใหม่ของโลก 5 สายพันธุ์ ได้แก่ 1) สยามโมซอรัส สุธีธรนี 2) ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน 3) สยามโมไท-รันนัสอีสานเอนซิส 4) กินรีมิมัส ขอนแก่นเอนซิส และ 5) ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ และยังพบรอยเท้าสัตว์ร่วมยุคกับไดโนเสาร์ เช่น จระเข้ และปลาโบราณ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เชิงธรณีวิทยาที่สำคัญหลายแห่ง เช่น ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ หลุมขุดค้นไดโนเสาร์ อุทยานแห่งชาติภูเวียง น้ำตกดาดฟ้า เป็นต้น

“ขั้นตอนจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะยื่นความประสงค์ต่อยูเนสโก ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 หากอุทยานธรณีขอนแก่นได้รับการรับรองเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกแล้ว จะทำให้อุทยานธรณีขอนแก่นเป็นที่รู้จักและยอมรับจากนานาประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศ สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นและสร้างความตระหนักรู้และการอนุรักษ์ทรัพยากรของประชาชนในพื้นที่ด้วย”

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

น.ส.รัชดา กล่าวด้วยว่า อุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) เป็นขอบเขตพื้นที่ที่มีคุณค่าทั้งด้านธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม โดยมีความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ การศึกษาวิจัย และการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้การจัดการอย่างมีส่วนร่วมทั้งจากภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีอุทยานธรณีโลกที่ได้รับการรับรองแล้ว 1 แห่ง คือ อุทยานธรณีสตูล เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ส่วนการเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นอุทยานธรณีโลกนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของยูเนสโก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 มิ.ย. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top