รัฐนำร่องสร้างโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการบริหารโครงการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจังหวัดชายแดนเพื่อความมั่นคง เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐสำหรับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน และเชื่อมโยงเกษตรกรรมฐานราก ผ่านพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน และเป็นพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนทั้งระบบ

โครงการริเริ่มนำร่องดังกล่าวมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้(รวมสงขลาและสตูล) จึงต้องร่วมกันเร่งผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเร็วที่สุด เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงาน และพืชอาหารสัตว์เป็นวงกว้าง ร่วมกับการส่งเสริมงานปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ที่นำไปสู่วิสาหกิจชุมชนและอุตสาหกรรมแปรรูปตามกรอบระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องพยายามให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารฮาลาลระดับโลกให้ได้ และที่สำคัญการจัดให้มีกองทุนโรงไฟฟ้าเพื่อชุมชนจะส่งเสริมการประกอบพิธีทางศาสนา และการศึกษาที่เชื่อมโยงอาชีพและความต้องการของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น พร้อมกำชับให้กระทรวงพลังงานและ ศอ.บต.พิจารณาสนับสนุนการใช้พืชพลังงานเป็นวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้า เพื่อแรงจูงใจดึงภาคเอกชนร่วมพัฒนาพื้นที่ ที่มีปัญหาด้านความมั่นคง ด้วยความจริงใจและเข้าใจร่วมกัน

พร้อมมอบหมายให้ ศอ.บต.และกระทรวงพลังงานร่วมขับเคลื่อนอย่างใกล้ชิด และมอบ กอ.รมน.ภาค 4 (ส่วนหน้า ) กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ร่วมสนับสนุนการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว

นอกจากนี้ยังพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดสรรโควต้าพลังงานไฟฟ้าคงเหลือให้กับแผนขับเคลื่อนโครงการไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมอบให้กระทรวงพลังงานพิจารณาโควต้าที่เหมาะสม และจัดสรรงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานรวม 265 ล้านบาท เพื่อนำไปเสริมและสนับสนุนการขยายพื้นที่ปลูกพืชพลังงานรองรับโครงการโรงไฟฟ้าจังหวัดในปี 66-67

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top